JIRAYU.IN.TH / โปรแกรมเมอร์, ช่างภาพ, และคนเลี้ยงแมว Fri, 26 Jul 2024 09:40:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.6.1 43932498 แปลงภาพเป็น WebP อัตโนมัติผ่าน Cloudflare Workers และ Cloudflare Images /2024/07/free-cloudflare-auto-convert-webp/ /2024/07/free-cloudflare-auto-convert-webp/#respond Fri, 26 Jul 2024 09:34:25 +0000 /?p=4105 ผ่านไปหลายปี WebP ยังเป็นเรื่องปวดหัวอยู่เรื่อยๆ กูเกิลก็พยายามเหลือเกินที่จะหักคะแนนถ้าไม่ใช้ WebP แต่ใช้ JPEG หรือ PNG มันสะดวกกับชีวิตมากกว่า พอจะหาปลั๊กอินแปลง WebP ส่วนมากก็ไม่ฟรี หรือต้องคอนฟิกอะไรเพิ่มอีกเยอะแยะ ปวดหัว คือเมื่อไม่นานมานี้ Cloudflare สุดที่รักของเราได้เปิดให้ใช้บริการแปลงภาพเป็น WebP ได้ฟรีๆ ผ่านบริการ Cloudflare Images (แต่เดิมแถมมากับแพ็คเกจโปร แต่ตอนนี้ออกมาขายเป็นแพ็คเกจแรก และมีรุ่นฟรีให้ใช้งาน) ข้อจำกัดของ Cloudflare Images รุ่นฟรีมีดังนี้ เว็บใหญ่ๆ อาจจะต้องคำนวนค่าใช้จ่ายล่วงหน้ากันหน่อย แต่เว็บเล็กๆ หรือบล็อกส่วนตัวนี่ไม่น่าต้องได้เสียเงิน มาเรื่องของเรากันต่อ คือ Cloudflare Images มันสามารถสั่งแปลงได้ผ่านทาง URL โดยตรง ด้วยฟอร์แมตแบบนี้ และอีกทางหนึ่งคือใช้ Workers แปลงให้ Workers คือโปรแกรม JavaScript เล็กๆ ที่รันอยู่บน Cloudflare เอาไว้ทำงานฝั่ง Server เช่นแก้ header, …

The post แปลงภาพเป็น WebP อัตโนมัติผ่าน Cloudflare Workers และ Cloudflare Images appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ผ่านไปหลายปี WebP ยังเป็นเรื่องปวดหัวอยู่เรื่อยๆ กูเกิลก็พยายามเหลือเกินที่จะหักคะแนนถ้าไม่ใช้ WebP แต่ใช้ JPEG หรือ PNG มันสะดวกกับชีวิตมากกว่า พอจะหาปลั๊กอินแปลง WebP ส่วนมากก็ไม่ฟรี หรือต้องคอนฟิกอะไรเพิ่มอีกเยอะแยะ ปวดหัว

คือเมื่อไม่นานมานี้ Cloudflare สุดที่รักของเราได้เปิดให้ใช้บริการแปลงภาพเป็น WebP ได้ฟรีๆ ผ่านบริการ Cloudflare Images (แต่เดิมแถมมากับแพ็คเกจโปร แต่ตอนนี้ออกมาขายเป็นแพ็คเกจแรก และมีรุ่นฟรีให้ใช้งาน) ข้อจำกัดของ Cloudflare Images รุ่นฟรีมีดังนี้

  • คิดค่าแปลงเริ่มต้น $0.5 ต่อ 1,000 ครั้งต่อเดือน (ถ้าใช้ไม่ถึง ไม่ต้องจ่าย) เรียกดูกี่ครั้งก็ได้ สิ้นเดือนนับใหม่
    • 1 รูป แปลง 5 ขนาด = คิด 5 ครั้ง
  • รูปที่แปลงแล้ว สามารถโยนไปเก็บไว้ที่ไหนก็ได้ หรือเก็บไว้บน Cloudflare Images ก็ได้เช่นกัน คิดราคา $5 ต่อ 100,000 รูป แปลงได้สูงสุด 20 ขนาด
    • 1 รูป แปลง 20 ขนาด = คิด 1 รูป
  • รูปที่เก็บไว้บน Cloudflare Images คิดค่าเปิดดู $1 ต่อ 100,000 request

เว็บใหญ่ๆ อาจจะต้องคำนวนค่าใช้จ่ายล่วงหน้ากันหน่อย แต่เว็บเล็กๆ หรือบล็อกส่วนตัวนี่ไม่น่าต้องได้เสียเงิน

มาเรื่องของเรากันต่อ คือ Cloudflare Images มันสามารถสั่งแปลงได้ผ่านทาง URL โดยตรง ด้วยฟอร์แมตแบบนี้

https://<ZONE>/cdn-cgi/image/<OPTIONS>/<SOURCE-IMAGE>

และอีกทางหนึ่งคือใช้ Workers แปลงให้

Workers คือโปรแกรม JavaScript เล็กๆ ที่รันอยู่บน Cloudflare เอาไว้ทำงานฝั่ง Server เช่นแก้ header, ทำ reverse proxy, หรือแปลงไฟล์

ข้อดีคือเราสามารถกำหนดรูปแบบ URL ยังไงก็ได้ตามใจชอบ และด้วยฟีเจอร์ Worker Routes ของ Cloudflare เอง ทำให้เราสามารถกำหนด Workers Routes ให้เสียบไปอยู่ที่ subdirectory ของเว็บเราได้ทันที (อย่างเช่นผมกำหนดให้ Workers ไปเสียบอยู่ที่ /wp-contents/uploads เอาไว้เลย) ทำให้เราไม่จำเป็นต้องแก้ไข URL ใดๆ บนเว็บเรา แค่ดีพลอยและคอนฟิกเพิ่มนิดหน่อย ใช้ได้เลย

Worker ที่ว่า คือตัวนี้

https://github.com/IronGhost63/cf-worker-image-transformer

โคลนโปรเจ็กท์ลงมาเก็บไว้ก่อน จากนั้นเข้าไปที่โฮสต์ของเรา (ผมใช้ Cloudways) แล้วจัดการเพิ่มโดเมนสำรอง (เป็นซับโดเมนเว็บหลักก็ได้) และคอนฟิก A Record ใน DNS ให้เรียบร้อย เช่น

โดเมนหลัก: jirayu.in.th
โดเมนสำรอง: web.jirayu.in.th

ส่วนฝั่ง DNS ก็กำหนด A Record ให้ชี้ไปที่ไอพีแอดเดรสเดียวกับโดเมนหลัก เอาเป็นว่าถ้าเข้าเว็บหลักด้วยโดเมนสำรองได้ก็ถือว่าเรียบร้อย

เหตุที่เราต้องมีโดเมนสำรอง เพราะว่าพอ worker ของเราเสียบไปที่ /wp-content/uploads/* แล้ว ทุกรีเควสท์ที่ส่งมาที่นี่จะถูกจัดการโดย worker ซึ่ง worker ของเราก็จะมีการเรียกไปที่พาธนี้เพื่อดึงรูปภาพเช่นกัน และจะเกิด infinite request loop ขึ้น ทางแก้คือเราเพิ่ม entry point ใหม่เข้าไปให้ worker ไปเรียกใช้แทน จะได้ไม่ติดลูป

เอาล่ะ เสร็จแล้วกลับมาที่ worker ที่เราโคลนเอาไว้ ให้ก็อปไฟล์ wrangler.example.toml ตั้งชื่อใหม่เป็น wrangler.toml แล้วแก้ค่า IMG_HOST ให้เป็นโดเมนสำรองที่เราสร้างเอาไว้ จากนั้นดีพลอยขึ้น Cloudflare Workers ได้เลย

หลังดีพลอยเสร็จแล้วก็เข้าไปที่หน้าจัดการโดเมนของเราบน Cloudflare ไปที่เมนู Workers Routes จากนั้นสร้าง route ใหม่ขึ้นมา กำหนดค่าดังนี้

[Route]
https://<โดเมนหลัก>/wp-content/uploads/*

[Worker]
<เลือกตัวที่เราเพิ่งดีพลอยไป>

บันทึกการตั้งค่าให้เรียบร้อย ทีนี้ก็น่าจะพร้อมใช้งานแล้ว

ถ้าเราลองไปเปิดแท็บ Network ใน DevTools ดู เลือกไฟล์รูปของเราแล้วเจอว่า Content-Type: image/avif และ X-Workers-Hello: WP63 ก็ถือว่าเรียบร้อยแล้ว

สำหรับเว็บที่รูปภาพเยอะๆ แนะนำให้ fork โปรเจ็กท์ออกไป แล้วเขียนให้มันเก็บภาพเพิ่มเอาครับ

อนึ่ง โค้ดเป็นแค่ PoC แนะนำว่าใครอยากเอาไปใช้จริง ควรแก้เพิ่มครับ

The post แปลงภาพเป็น WebP อัตโนมัติผ่าน Cloudflare Workers และ Cloudflare Images appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2024/07/free-cloudflare-auto-convert-webp/feed/ 0 4105
เที่ยววันเดียว หัวหิน-ปราณบุรี 24 ชั่วโมงใช้ให้คุ้ม /2021/12/huahin-pranburi-one-day-trip/ /2021/12/huahin-pranburi-one-day-trip/#respond Sun, 12 Dec 2021 17:35:47 +0000 /?p=3652 การขับรถโดยเฉพาะการเดินทางไกลๆ สำหรับผมแล้วมันเป็นหนึ่งในวิธีเยียวยาจิตใจที่ดีมากๆ วิธีหนึ่ง คือตอนขับรถเราจะลืมทุกอย่าง และจะจดจ่ออยู่กับเส้นทางตรงหน้าเท่านั้น ดังนั้นช่วงไหนเวลาอารมณ์ดิ่งมากๆ ก็จะหาเรื่องเดินทางไกลไปที่ไหนสักที (หรือบางทีก็ออกไปขับรถเล่นวนรอบกรุงเทพ) คือเมื่อ 4-6 ธันวาคมที่ผ่านมาผมก็จัดทริปไฟไหม้ขึ้นเหนือไปรอบนึงแล้ว (นึกเย็นออกค่ำ) วิ่งยาวจากกรุงเทพไปเขาค้อ ไปต่อที่เชียงใหม่ กลับมาแวะลำปาง แล้วค่อยกลับกรุงเทพ ขับยาวไปเกือบสองพันกิโล ล่าสุดวันที่ 11 ธันวาคมก็จัดทริปไฟไหม้อีกรอบ (นึกเย็นออกค่ำ) โดยคราวนี้ไปหัวหิน ขับรถไปเรื่อยๆ ในหนึ่งวัน ผมออกจากบ้านตีสามและกลับถึงบ้านตีสองครึ่งของอีกวัน เรียกว่า 24 ชั่วโมงนั้นใช้ให้คุ้มที่สุด อนึ่ง จริงๆ ตอนไปไม่ได้กะว่าจะกลับมาเขียนบล็อกหรอก เลยไม่ได้ถ่ายรูปและเก็บข้อมูลหลายๆ อย่างเผื่อเอาไว้ ดังนั้นทั้งภาพและข้อมูลก็จะขาดๆ เกินๆ ไปอยู่บ้างนะครับ สำหรับสถานที่คร่าวๆ ที่ไปมามีดังนี้ครับ ดูอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดหัวหิน กินมื้อเช้าที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ กับติ่มซำที่ร้าน Bar Indigo หมู่บ้านศิลปินหัวหิน สวนสัตว์หัวหินแฟนตาเซียปาร์ค (สวนสัตว์หัวหิน) วนอุทยานปราณบุรี ปากน้ำปราณบุรี ดูอาทิตย์ตกที่เขื่อนปราณบุรี เดินหาของกิน ของนู่นนั่นนี่ และชมดนตรีที่ Tamarind Market และ …

The post เที่ยววันเดียว หัวหิน-ปราณบุรี 24 ชั่วโมงใช้ให้คุ้ม appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
การขับรถโดยเฉพาะการเดินทางไกลๆ สำหรับผมแล้วมันเป็นหนึ่งในวิธีเยียวยาจิตใจที่ดีมากๆ วิธีหนึ่ง คือตอนขับรถเราจะลืมทุกอย่าง และจะจดจ่ออยู่กับเส้นทางตรงหน้าเท่านั้น ดังนั้นช่วงไหนเวลาอารมณ์ดิ่งมากๆ ก็จะหาเรื่องเดินทางไกลไปที่ไหนสักที (หรือบางทีก็ออกไปขับรถเล่นวนรอบกรุงเทพ)

คือเมื่อ 4-6 ธันวาคมที่ผ่านมาผมก็จัดทริปไฟไหม้ขึ้นเหนือไปรอบนึงแล้ว (นึกเย็นออกค่ำ) วิ่งยาวจากกรุงเทพไปเขาค้อ ไปต่อที่เชียงใหม่ กลับมาแวะลำปาง แล้วค่อยกลับกรุงเทพ ขับยาวไปเกือบสองพันกิโล ล่าสุดวันที่ 11 ธันวาคมก็จัดทริปไฟไหม้อีกรอบ (นึกเย็นออกค่ำ) โดยคราวนี้ไปหัวหิน ขับรถไปเรื่อยๆ ในหนึ่งวัน ผมออกจากบ้านตีสามและกลับถึงบ้านตีสองครึ่งของอีกวัน เรียกว่า 24 ชั่วโมงนั้นใช้ให้คุ้มที่สุด

อนึ่ง จริงๆ ตอนไปไม่ได้กะว่าจะกลับมาเขียนบล็อกหรอก เลยไม่ได้ถ่ายรูปและเก็บข้อมูลหลายๆ อย่างเผื่อเอาไว้ ดังนั้นทั้งภาพและข้อมูลก็จะขาดๆ เกินๆ ไปอยู่บ้างนะครับ

สำหรับสถานที่คร่าวๆ ที่ไปมามีดังนี้ครับ

  1. ดูอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดหัวหิน
  2. กินมื้อเช้าที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ กับติ่มซำที่ร้าน Bar Indigo
  3. หมู่บ้านศิลปินหัวหิน
  4. สวนสัตว์หัวหินแฟนตาเซียปาร์ค (สวนสัตว์หัวหิน)
  5. วนอุทยานปราณบุรี
  6. ปากน้ำปราณบุรี
  7. ดูอาทิตย์ตกที่เขื่อนปราณบุรี
  8. เดินหาของกิน ของนู่นนั่นนี่ และชมดนตรีที่ Tamarind Market และ Cicada Market

ดูอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดหัวหิน

จากที่เปิดแอพพยากรณ์อากาศดู หัวหินในช่วงนี้จะอาทิตย์ขึ้นเวลา 6:31 นาฬิกา จากนั้นลองเปิดกูเกิลแมพลากเส้นจากบ้านไปหาดหัวหิน พบว่าใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมง ดังนั้นตอนเย็นวันที่สิบเลยเข้านอนตั้งแต่ทุ่มนึง มาตื่นตอนตีสองอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกจากบ้านตอนตีสาม วิ่งไปทางถนนพระรามสองแล้วเข้าเพชรเกษมยาวๆ ไปจนถึงหัวหิน

ผมมาถึงหัวหินตอนประมาณหกโมงพอดี เช้าๆ มีคนเยอะพอสมควร มีกลุ่มคุณย่าคุณยายมาเต้นกายบริหารตอนเช้าด้วย และวันนี้สามารถเห็นดวงอาทิตย์เป็นไข่แดงขึ้นจากน้ำได้เลย สวยมาก

กินมื้อเช้าที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ กับติ่มซำที่ร้าน Bar Indigo

ร้านกาแฟเจ๊กเปี๊ยะเป็นร้านอาหารเช้าขึ้นชื่อของหัวหิน ผมเช็คที่ไหนก็บอกเปิดเจ็ดโมงครึ่ง ประมาณเจ็ดโมงสิบห้าเลยออกจากหาด ขับรถวนมานิดหน่อยถึงหน้าร้านตอน 7:20 ใครที่จะเดินไปจากหาดก็เดินออกมาแล้วเลี้ยวเข้าซอยนเรศดำริห์ตรงเซเว่น (ทางไปโรงแรมฮิลตัน) เดินตามซอยไปเรื่อยๆ จะไปโผล่ท้ายซอยเดชานุชิต (หัวหิน 57) เลี้ยวเข้าซอยแล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ เลย ร้านอยู่หัวมุมเกือบๆ ปากซอย

ตอนมาถึงปรากฎว่าคนเต็มร้านแล้ว เลยต้องไปยืนต่อคิวหน้าร้าน ทีนี้พอต่อคิวไปสักพักคุณป้าในร้านก็เรียกคิวสองคน ผมก็ยืนอยู่กับพี่คนนึงสองคนอยู่หน้าร้านเลยเดินเข้าไปแบบงงๆ พอสั่งมื้อเช้าก็ค้นพบว่าสองคนที่ว่าคือคุณพี่เขามากับแฟนเขา แล้วจองโต๊ะไว้กับแฟน ผมนี่นั่งตัวลีบเลย

จังหวะนี้ไม่กล้าหยิบมือถือมาถ่ายต้มเลือดหมูหรอกนะ กินเสร็จแล้วรีบลุกหนีเลย

ด้วยความที่ยังไม่อิ่มเลยกะจะไปกินติ่มซำต่อนิดหน่อย เลยเดินไปตามถนนเลียบเคหาสถ์เพื่อไปร้านติ่มซำเติมพุง (ชื่อในกูเกิลแมพจะเป็นติ่มซำภูเก็ต) แต่พอไปถึง ด้วยความที่ผมชอบกินฮะเก๋าแล้วพบว่าของร้านเติมพุงหน้าตาไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ (อาจจะอร่อยนะ ไว้เดี๋ยววันหลังจะไปลอง) เลยเดินย้อนกลับมาร้านติ่มซำอีกร้านที่อยู่ตรง Bar Indigo ดูทรงแล้วน่าจะเป็นร้านติ่มซำโนเนมที่มายืมที่หน้าร้าน Bar Indigo ขายเฉยๆ แต่ตอนเช้าร้านว่าง เลยสั่งเครื่องดื่มจาก Bar Indigo แล้วนั่งกินติ่มซำในร้านได้สบายๆ

ติ่มซำเขาอร่อยใช้ได้เลยนะ ฮะเก๋ากรุบๆ ซาลาเปานุ่มมาก กับอะไรอีกสองอย่างที่ผมเรียกไม่ถูก อร่อยเหมือนกัน ราคาเข่งละ 20 บาท จริงๆ มีให้เลือกหลายอย่าง แต่ลืมถ่ายรูปมาครับ

หมู่บ้านศิลปิน

ผมขับรถวนออกมาทางซอยหัวหิน 61 (ซอยหาดหัวหินนั่นแหละ) เข้าซอยหัวหิน 76 สุดซอยนี้จะเป็นสถานีรถไฟหัวหิน สามารถแวะถ่ายรูปกันได้ครับ เห็นมีหัวจักรไอน้ำเก่าจอดอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้แวะ แฮ่

ระหว่างทางไปหมู่บ้านศิลปินจะผ่านหมูบ้านช้างหัวหินด้วย ผมลองแวะเข้าไปแล้วเจอช้างอยู่สามสี่เชือก สามารถซื้อกล้วยมาป้อนช้างได้ และสามารถขี่ช้างไปตามเส้นทางที่จัดไว้ได้ด้วยเช่นกัน แต่ตอนผมไปเขากำลังอาบน้ำช้างกันอยู่ อะไรๆ เลยยังไม่เข้าที่เข้าทางดีหนัก ยืนดูช้างอยู่แป้บนึงก็ออกมาแล้วไปหมู่บ้านศิลปินต่อ

ผมมาถึงหมู่บ้านศิลปินตอนประมาณเกือบๆ สิบโมง (เปิดสิบโมงตรง) ภายในจะมีส่วนที่เป็นร้านอาหาร แกลลอรี่ภาพ และส่วนพิพิทธภัณฑ์ ผมได้เดินแค่ส่วนพิพิธภัณฑ์อย่างเดียว ค่าตั๋วเข้าชมแค่ 40 บาทเท่านั้น ภายในงานจะมีการจัดแสดงภาพวาดและงานศิลปะจากศิลปินหลายๆ ท่าน เช่นภาพสีน้ำของ อ.ทวี เกษางาม หรืองานศิลปะจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Nano Nano จากศิลปินชาวญี่ปุ่น อ.โคอิจิ มิยาจิมะ

นอกจากงานศิลปะแล้วยังมีโซนเวิร์กช็อปที่เปิดให้ผู้เข้าชมสามารถสร้างงานศิลปะเองได้ด้วย เท่าที่เห็นคือมีตั้งแต่วาดรูปลงสี ไปจนถึงงานปั้นต่างๆ ถ้าจำข้อมูลตรงนี้ไม่ผิด คือจะมีค่าเวิร์กช็อป 150 บาท และค่าอุปกรณ์แยกอีกต่างหาก

ออกจากโซนพิพิธภัณฑ์มาจะเป็นส่วนของตลาดนัดคุณนายตื่นสาย ที่จะมีทุกวันเสาร์ ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงบ่ายสามโมง ลักษณะเป็นตลาดนัดเล็กๆ มีของกินให้พอเลือกหยิบแก้หิวได้ มีต้นไม้และของงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ มาขายด้วย ผมได้ข้าวยำปักษ์ใต้มากินห่อนึง (ครั้งแรกที่กินเลย) คุณลุงคนขายแกบอกว่าพวกผักต่างๆ ในห่อนั้นมาจากสวนของแกเอง ปลูกเองแบบออร์แกนิค ไร้สารเคมี

สวนสัตว์หัวหินแฟนตาเซียปาร์ค

ออกจากหมู่บ้านศิลปินขับรถตรงมาเรื่อยๆ ประมาณสิบนาทีก็มาถึงสวนสัตว์หัวหิน (ตอนเวลาประมาณ 11:30) หรือหัวหินแฟนตาเซียปาร์ค มีค่าเข้าผู้ใหญ่ 150 บาท และเด็ก 50 บาท

ตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็น GIF นะครับ ไฟล์ใหญ่โตมาก เพราะมัวแต่ถ่ายสตอรี่น้อนๆ ลืมเก็บรูปนิ่งเลย

ที่นี่เป็นสวนสัตว์เล็กๆ ไม่สัตว์ไม่มากนัก เช่นกระต่าย หนูตะเภา นกแก้ว นกยูง แกะ กวาง ช้าง ม้า วัว ควาย (literally) มีหมูและเป็ดวิ่งร่อนทั่วสวน รวมไปถึงการแสดงโชว์จรเข้ที่หวาดเสียววูบวาบระดับหนึ่ง

อ้อ เลยไปทางวนอุทยานปราณบุรี จะมีสวนสัตว์หัวหินซาฟารีอีกที่นะครับ แต่ผมไม่ได้แวะ

เราสามารถให้อาหารสัตว์ได้ด้วยนะ จะมีขายอยู่สองจุดคือทางเข้าด้านหน้า เป็นอาหารรวม มีกล้วย แครอท อาหารปลา (เป็ดไก่กินได้) และเมล็ดทานตะวันสำหรับนกแก้ว ราคา 100 บาท และอีกจุดหนึ่งคือโซนช้าง ตรงนี้จะเป็นกล้วยล้วน ราคา 100 บาทเช่นกัน

เดินลึกเข้ามาอีกหน่อยจะเป็นโซนจรเข้ จะมีโชว์จรเข้อยู่เรื่อยๆ เราสามารถถ่ายรูปคู่กับจรเข้และ “ตกจรเข้” ได้ด้วย (อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไงนะ ไม่ได้ลอง) และมีลูกจรเข้อยู่ในบ่อเล็กๆ ให้ได้ดูใกล้ๆ ด้วย

ตอนเดินเข้ามาในสวนก็คือให้อาหารไปเรื่อยจนหมด ตอนขากลับถึงเห็นว่าเลยกรงนกแก้วเข้าไปจะมีคอกม้าและคอกวัวอยู่ด้วย มันไม่ได้อยู่ใกล้กับทางเดินหลัก คิดว่านักท่องเที่ยวน่าจะเห็นน้อยและคงได้กินน้อยลงไปด้วย น้องม้าสีขาวคืออ้อนมาก เดินตามด๊อกแด๊กเหมือนหมาเลย

จริงๆ ที่สวนสัตว์หัวหินจะมีสิงโตขาวชื่อน้องมีนาเป็นจุดขายด้วย แต่ตอนที่ผมไปไม่เจอน้อง มีแต่กรงเปล่าๆ

วนอุทยานปราณบุรี

ผมออกจากสวนสัตว์หัวหินตอนเกือบๆ บ่ายโมง ขับรถไปเรื่อยๆ ประมาณ 45 นาทีก็มาถึงวนอุทยานปราณบุรีตอนประมาณ 13:45 ถนนเข้าวนอุทยานจะงงๆ นิดหน่อย คือจากถนนเพชรเกษมแล้วเราเลี้ยวเข้ามาตามถนน 1019 เมื่อก่อนเราจะสามารถข้ามทางรถไฟแล้วตรงไปอุทยานได้เลย แต่ตอนนี้มีการสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ (แบบเดียวกับที่สวนสนประดิพัทธ์) พอเราข้ามสะพานมาแล้วต้องกลับรถแล้วเข้าใต้สะพานเพื่อไปทางวนอุทยานอีกที ถ้าไม่สังเกตุดีๆ อาจจะเลยได้

ภายในวนอุทยาน หลักๆ จะมีอยู่สองโซนคือโซนหาดปราณคีรี (และป่าสน) กับโซนป่าชายเลน

หาดปราณคีรีเป็นหาดที่สงบมาก ลมเย็นสบาย คนน้อย (นี่ขนาดไปวันหยุดนะ คนยังน้อยมากๆ เลย) ตัวหาดไม่ได้กว้างมากเท่าไหร่นัก หาดสะอาดระดับหนึ่ง น้ำช่วงนี้ใสมาก

ส่วนที่เป็นหาดผมเห็นจะมีสองส่วน ส่วนแรกคือหาดที่อยู่ตรงแนวขอบอุทยาน (ตรงป้ายอุทยาน) ตรงนี้จะเงียบมาก มีกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ สองสามกลุ่มมานั่งปูเสื่อกินอาหารกัน (เห็นมีรอยก่อกองไฟด้วย น่าจะก่อไปทำอาหารได้)

อีกส่วนจะเป็นหาดที่อยู่ด้านในอุทยาน ตรงนี้จะเป็นจุดกางเต้นท์ของทางอุทยาน

อีกส่วนที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ก็คือบริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ที่มีการสร้างสะพานไม้ความยาวหนึ่งกิโลเมตรเอาไว้ (ทางจะเดินเป็นวงกลม สุดทางที่ทางเข้าพอดี) ตลอดทางจะมีป้ายบอกข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์และต้นไม้ต่างๆ ในระบบนิเวศน์

พื้นที่ส่วนใหญ่ของเส้นทางจะเป็นป่าโกงกาง เมื่อเดินเข้ามาได้ประมาณครึ่งทางจะเป็นท่าเรือเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถล่องเรือชมป่าโกงกางในบริเวณนั้นได้ด้วย

พอพ้นแนวป่าโกงกางออกมาจะเป็นทุ่งโปรงทองสีเขียวสบายตาตัดกับสีท้องฟ้าสีน้ำเงินสวยมาก ตรงชายทุ่งจะมีหอชมวิวเล็กๆ อยู่ด้วย สามารถขึ้นไปชมวิวรอบทิศและถ่ายรูปสวยๆ ได้

ปากน้ำปราณบุรี

หลังจากยืนตากลมตากลมทะเลอยู่สักพักใหญ่ๆ ก็ขับรถออกจากวนอุทยานตอนประมาณสี่โมงเย็นเพื่อไปยังปากน้ำปราณบุรีต่อ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย

คือจากรูปหาดข้างบน จะเห็นว่าในภาพไกลๆ มีต้นไม้ยื่นลงไปในทะเล ตรงนั้นแหละคือปากแม่น้ำปราณบุรี แต่ว่าเราไม่สามารถวิ่งทะลุอุทยานออกไปฝั่งปากแม่น้ำได้ เราต้องขับรถออกมา อ้อมอุทยาน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จะไปถึงตรงจุดจอดรถอีกฝั่งของแม่น้ำ ที่เราสามารถจอดรถแล้วเดินชายหาดเล็กๆ ตรงนั้นได้ หรือถ้าอยากเข้าไปลึกหน่อย ตรงปลายถนน (แถวๆ จุดลงเรือ) จะมีทางดินเล็กๆ ให้ขับรถเข้าไปได้เหมือนกัน

ตรงปากแม่น้ำสามารถไปนั่งตกปลาได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมากนัก แวะเติมน้ำแข็งแล้วไปเขื่อนปราณบุรีกันต่อ

ดูอาทิตย์ตกที่เขื่อนปราณบุรี

จริงๆ ตอนแรกเขื่อนปราณบุรีไม่ได้อยู่ในแผน (ตอนแรกจะไปถนนคนเดินปราณบุรี) แต่ตอนอยู่ที่ปากน้ำมันแค่ประมาณสี่โมงกว่าๆ เท่านั้น เลยเปิดกูเกิลแมพดูแล้วเจอว่าบนสันเขื่อนมันเห็นอาทิตย์ตกพอดี เช็คแอพพยากรณ์อากาศอีกรอบพบว่าอาทิตย์ตก 17:55 เลยออกจากปากน้ำและขับรถต่อไปประมาณ 40 นาทีก็ถึงเขื่อนปราณบุรีตอนประมาณห้าโมงครึ่ง

ตอนไปถึงเขื่อน หลายท่านอาจจะทราบแล้ว แต่ผมไม่ทราบ ก็คือผมไปถามเจ้าหน้าที่ข้างหน้าว่าเขื่อนปิดกี่โมง เขาบอกว่าถ้าจะขึ้นไปดูอาทิตย์ตกให้เลี้ยวไปอีกทาง เพราะเข้าไปข้างหน้าเขาจะปิดเอาไว้ ผมก็ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่แจ้งให้ทราบแล้วกลับรถออกมา เลี้ยวไปตามทางที่พี่เจ้าหน้าที่บอกก็มาถึงบนสันเขื่อนตอนประมาณ 17:40 ดวงอาทิตย์เริ่มลงต่ำใกล้กับแนวยอดเขาเข้าไปทุกที

ผมรอไม่นานนักก็ได้เห็นอาทิตย์ไข่แดงตกดินแบบเต็มตา (วันนี้ฟ้าดีมาก ไม่มีเมฆมากวนเลยทั้งเช้าและเย็น)

เวลาประมาณหกโมงก็ออกจากเขื่อนมา แผนเดิมคือจะไปถนนคนเดินปราณบุรีต่อ แต่พอไปถึงที่แล้วพบว่ามันไม่เปิด เป็นซอยว่างๆ ไม่มีอะไรเลย ตอนแรกก็นึกว่าเลี้ยวผิด วนไปวนมาอยู่หลายรอบถึงมั่นใจว่ามาถูกแล้ว แต่มันไม่มีถนนคนเดิน แถมเอารถไปครูดกับกระถางต้นไม้มาอีกต่างหาก เห้อ

Tamarind Market และ Cicada Market

แทมารินกับซิเคด้าเป็นสองตลาดที่ตั้งอยู่ติดกัน ใครมาหัวหินก็ต้องแวะมา ผมมาถึงตอนประมาณ 19:20 ที่จอดรถที่อยู่เลยแทมารินมาก็เต็มแน่นเอียด ต้องวนรถอยู่สักพักกว่าจะมีรถออกให้เสียบเข้าไปได้ ตรงนี้จะมีค่าจอด 50 บาท ปิดประตูตอนห้าทุ่มครึ่ง

ฝั่งแทมารินจะเป็นเหมือนสวนอาหาร ของกินเต็มไปหมด น่ากินทั้งนั้น แต่ด้วยความที่ไปคนเดียวก็เลยไม่มีแรงกินอะไรมากนัก ซื้อไก่ย่างจานนึงกับข้าวเหนียวห่อนึง และไอศครีมซอฟต์เสิร์ฟอีกถ้วย เป็นอันจบมื้อเย็น

อย่างที่ทราบกันว่าตอนนี้ก็เริ่มกลับมาดื่มแอลกอฮอลและฟังดนตรีสดได้แล้ว ใครเหมารถตู้มาหรือมากับเพื่อนฝูงก็สามารถจัดแอลกอฮอลได้เต็มที่เลยครับ และอย่าลืมให้ทิปพี่น้องนักร้องนักดนตรีกันด้วยนะครับ

ส่วนฝั่งซิเคด้าก็จะเป็นพวกงานฝีมือ (ถ้าจำไม่ผิดมีอาหารด้วยนะ แต่น้อยกว่าแทมาริน) ว่ากันตรงๆ ผมไม่ได้เดินเท่าไหร่หรอก เพราะมัวแต่ดูดนตรีที่แสดงอยู่ฝั่งซิเคด้า ที่จะมีสองกลุ่มคือกลุ่มแรกเป็นวงขิมที่เล่นเมดเลย์ทั้งเพลงไทยและเพลงสากล จะเล่นอยู่แถวๆ ทางเข้า กับอีกวงคือวงปล้ำแรงที่เล่นอยู่ตรง … เขาเรียกอะไรนะ ออดิเทอเรียม? อะไรสักอย่าง เวทีหลักแล้วกัน

ผมชอบทั้งสองวงเลย วงขิมก็เล่นเพลงร็อคๆ อย่างเพลงของ Linkin Park ให้กลายเป็นเพลงสบายๆ ฟังลื่นหู ส่วนวงปล้ำแรงก็เล่นกับคนดูได้สนุกและเพลิดเพลินดีมาก เห็นพี่แป้งนักร้องนำพูดว่าเขาเปิดร้านข้าวซอยอยู่ เดี๋ยวว่างๆ จะลองไปกินบ้าง

อยากบอกพี่แป้งและวงปล้ำแรงว่าผมไม่ใช่หมอนะ 555

ผมนั่งดูวงปล้ำแรงเล่นอยู่จนถึงห้าทุ่มถึงได้ออกมา (เดี๋ยวลานจอดรถจะปิดเสียก่อน) ตอนแรกว่าจะแวะถนนคนเดินหัวหินแต่ด้วยความที่กินอิ่มแล้วเลยไม่ได้แวะต่อ ขับรถตรงกลับมาถึงกรุงเทพเลย ถึงบ้านเวลาประมาณตีสองครึ่ง เรียกว่าใช้เวลาเที่ยวไปเกือบครบ 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว

The post เที่ยววันเดียว หัวหิน-ปราณบุรี 24 ชั่วโมงใช้ให้คุ้ม appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2021/12/huahin-pranburi-one-day-trip/feed/ 0 3652
เปลี่ยนภาพหน้าจอรายวันด้วย Bing Wallpaper บน iOS /2021/08/ios-bing-wallpaper/ /2021/08/ios-bing-wallpaper/#respond Mon, 02 Aug 2021 06:47:03 +0000 /?p=3624 จริงๆ ผมย้ายมาใช้ iPhone ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ซึ่งถ้าย้อนกลับไปสมัยใช้ Galaxy S9 ผมจะลง Microsoft Launcher เอาไว้ และฟีเจอร์นึงที่ผมชอบมากนั่นคือ Bing Wallpaper ที่จะช่วยเปลี่ยนวอลเปเปอร์ของเราแบบรายวัน แต่ว่าบน iOS มันไม่มีแอพนี้ (และถึงมี ระบบไม่อนุญาตให้แอพเปลี่ยนวอลเปเปอร์ได้เอง) แต่ iOS มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Shortcuts ซึ่งเปิดให้เราสามารถทำ automation แบบง่ายๆ ได้บน iOS และยังสามารถแชร์ช็อตคัทที่เราสร้างให้คนอื่นใช้ได้ด้วย ซึ่งมันก็มีคนทำช็อตคัทสำหรับ Bing Wallpaper ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนวอลเปเปอร์ และเราสามารถใช้ฟีเจอร์ Automation ของแอพ Shortcuts เพื่อตั้งเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่ในทุกๆ วัน Bing Wallpaper shortcut ผมไปเจอช็อตคัทนี้มาบน Reddit ในกระทู้นี้ ในกระทู้จะมีอัปเดตช็อตคัทล่าสุดให้เรื่อยๆ ช็อตคัทล่าสุดที่เขียนโพสต์นี้คือเวอร์ชัน 1.4 กดตามได้จากลิงก์นี้ https://www.icloud.com/shortcuts/af603dd8a5004938af44cbd244668530 กดไปแล้วมันจะเปิดแอพ Shortcuts ขึ้นมา …

The post เปลี่ยนภาพหน้าจอรายวันด้วย Bing Wallpaper บน iOS appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
จริงๆ ผมย้ายมาใช้ iPhone ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ซึ่งถ้าย้อนกลับไปสมัยใช้ Galaxy S9 ผมจะลง Microsoft Launcher เอาไว้ และฟีเจอร์นึงที่ผมชอบมากนั่นคือ Bing Wallpaper ที่จะช่วยเปลี่ยนวอลเปเปอร์ของเราแบบรายวัน แต่ว่าบน iOS มันไม่มีแอพนี้ (และถึงมี ระบบไม่อนุญาตให้แอพเปลี่ยนวอลเปเปอร์ได้เอง)

แต่ iOS มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Shortcuts ซึ่งเปิดให้เราสามารถทำ automation แบบง่ายๆ ได้บน iOS และยังสามารถแชร์ช็อตคัทที่เราสร้างให้คนอื่นใช้ได้ด้วย ซึ่งมันก็มีคนทำช็อตคัทสำหรับ Bing Wallpaper ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนวอลเปเปอร์ และเราสามารถใช้ฟีเจอร์ Automation ของแอพ Shortcuts เพื่อตั้งเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่ในทุกๆ วัน

Bing Wallpaper shortcut

ผมไปเจอช็อตคัทนี้มาบน Reddit ในกระทู้นี้ ในกระทู้จะมีอัปเดตช็อตคัทล่าสุดให้เรื่อยๆ ช็อตคัทล่าสุดที่เขียนโพสต์นี้คือเวอร์ชัน 1.4 กดตามได้จากลิงก์นี้

กดไปแล้วมันจะเปิดแอพ Shortcuts ขึ้นมา กด Add untrusted shortcut ได้เลย

Untrusted Shortcuts

ใครใช้ช็อตคัทครั้งแรกอาจจะเจอปัญหาว่าไม่สามารถเพิ่มช็อตคัทตัวนี้ได้ เพราะมีปัญหา Untrusted Shortcuts

วิธีแก้คือให้เราเข้าไปเปิด Untrusted Shortcuts ใน Settings ก่อน แต่การจะเปิด Untrusted Shortcuts ได้นั้นเราจำเป็นต้องรันช็อตคัทใดๆ ก่อนหนึ่งครั้งจึงจะสามารถเปิดได้

สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ช็อตคัทเลย พอเปิดแอพมามันจะอยู่หน้า Gallery ให้เราเลือกช็อตคัทมาสักตัวหนึ่ง ในที่นี้ผมเลือกในกลุ่ม Starter Shortcuts แล้วเลือก Show Screenshots ขึ้นมาแล้วกด Add Shortcuts

จากนั้นกลับไปที่แท็บ My Shortcuts แล้วกดรัน Show Screenshots ทีนึง กด Allow Access ให้เรียบร้อย จากนั้นมันจะเด้งรูป Screenshot ล่าสุดในเครื่องของเราขึ้นมา ให้กด Done เป็นอันเสร็จ

จากนั้นให้เปิด Settings ขึ้นมา เลือก Shortcuts แล้วกด Allow Untrusted Shortcuts

ถึงตรงนี้เราจะเพิ่มช็อตคัทใหม่ได้แล้ว ให้กลับไปกดลิงก์ช็อตคัทด้านบนใหม่ มันจะเปิดแอพช็อตคัทขึ้นมาพร้อมแสดงรายละเอียด (ยาวมาก) ให้ไถลงไปข้างล่างสุดแล้วกด Add Untrusted Shortcut สีแดงๆ แล้วเราจะได้ช็อตคัท Bing Wallpaper เพิ่มขึ้นมา จะลองกดเล่นสักทีแล้วกด Allow สิทธิ์ต่างๆ ก่อนก็ได้ (กดแล้วมันจะเปลี่ยนพื้นหลังให้อัตโนมัติเลย)

ตั้งเปลี่ยนพื้นหลังอัตโนมัติทุกวัน

ฟีเจอร์ของ Bing Wallpaper คือมันจะเปลี่ยนภาพพื้นหลังให้ใหม่ทุกวัน ซึ่งเราสามารถเลียนแบบฟีเจอร์นี้ได้ผ่านฟีเจอร์ Automation ของแอพ Shortcuts

ให้เรากดไปที่แท็บ Automation จากนั้นกดปุ่ม + และเลือก Create Personal Automation

ให้เลือกประเภทเป็น Time of Day จากนั้นตั้งเวลาให้เรียบร้อย กด Next แล้วเลือก Add Action

เลือกแอคชันเป็น Apps และเลือกแอพ Shortcuts ขึ้น จากนั้นเลือกคำสั่ง Run Shortcut

Action ที่เราเลือกจะถูกเพิ่มเข้ามาดังในภาพ ให้เราแตะที่คำว่า Shortcut สีฟ้าๆ แล้วเลือก Bing Wallpaper แล้วกด Next

หน้าจอถัดมาจะเป็นสรุปรายละเอียดของ Automation ที่เราสร้างขึ้น ให้เรากดปิด Ask Before Running พอมันขึ้นหน้าต่างมาให้เลือก Don’t Ask ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลามันจะขึ้นค้างไว้แล้วถามเราว่าจะรันคำสั่งนี้หรือไม่

The post เปลี่ยนภาพหน้าจอรายวันด้วย Bing Wallpaper บน iOS appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2021/08/ios-bing-wallpaper/feed/ 0 3624
ตั้งค่าปุ่มเพิ่มลดเสียงบนแมค สำหรับคีย์บอร์ดแยก /2021/06/%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%a2/ /2021/06/%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%a2/#respond Tue, 01 Jun 2021 09:52:15 +0000 /?p=3615 ปกติแล้วเราสามารถกดปุ่มบนคีย์บอร์ดหรือทัชบาร์เพื่อเพิ่มลดเสียงบนแมคได้เลย แต่สำหรับคนที่ใช้คีย์บอร์ดแยก และคีย์บอร์ดไม่มีปุ่มเพิ่มลดเสียงแยกมาให้ ทำให้มันกลายเป็นปัญหาพอตัว เพราะการจะเพิ่มลดเสียงแต่ละทีต้องเปิดเมนู Sound จาก System Preferences เพื่อปรับเสียง ทางออกงคือการกำหนดปุ่มลัดขึ้นมาเพิ่มลดเสียงแทน ทั้งนี้เราต้องใช้โปรแกรมฟรีเล็กๆ ที่ชื่อว่า Spark เพื่อกำหนดปุ่มลัดนี้แทน เพราะเมนู Shortcut ของแมคมันกำหนดอะไรแบบนี้ไม่ได้ ดาวน์โหลด Spark ดาวน์โหลดมาแล้วติดตั้งให้เรียบร้อย กดเปิดโปรแกรมขึ้นมาจะเจอโปรแกรมหน้าตาแบบนี้ วิธีเพิ่มปุ่มลัดคือให้กดปุ่ม + ตรง HotKey Groups แล้วเลือก System (เพิ่มลดเสียงเป็น system command) แล้วเราจะเจอกับหน้าต่างกำหนดค่าแบบนี้ วิธีใช้ก็ง่ายๆ เลย ให้เราคลิกตรง click to edit ตรงช่อง Shortcut จากนั้นกดปุ่มที่เราต้องการ เช่นผมใช้เป็น Ctrl + Win + PgUp สำหรับเพิ่มเสียง และ Ctrl + Win + PgDn …

The post ตั้งค่าปุ่มเพิ่มลดเสียงบนแมค สำหรับคีย์บอร์ดแยก appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ปกติแล้วเราสามารถกดปุ่มบนคีย์บอร์ดหรือทัชบาร์เพื่อเพิ่มลดเสียงบนแมคได้เลย แต่สำหรับคนที่ใช้คีย์บอร์ดแยก และคีย์บอร์ดไม่มีปุ่มเพิ่มลดเสียงแยกมาให้ ทำให้มันกลายเป็นปัญหาพอตัว เพราะการจะเพิ่มลดเสียงแต่ละทีต้องเปิดเมนู Sound จาก System Preferences เพื่อปรับเสียง

ทางออกงคือการกำหนดปุ่มลัดขึ้นมาเพิ่มลดเสียงแทน ทั้งนี้เราต้องใช้โปรแกรมฟรีเล็กๆ ที่ชื่อว่า Spark เพื่อกำหนดปุ่มลัดนี้แทน เพราะเมนู Shortcut ของแมคมันกำหนดอะไรแบบนี้ไม่ได้

ดาวน์โหลด Spark

ดาวน์โหลดมาแล้วติดตั้งให้เรียบร้อย กดเปิดโปรแกรมขึ้นมาจะเจอโปรแกรมหน้าตาแบบนี้

หน้าตาโปรแกรม Spark

วิธีเพิ่มปุ่มลัดคือให้กดปุ่ม + ตรง HotKey Groups แล้วเลือก System (เพิ่มลดเสียงเป็น system command)

แล้วเราจะเจอกับหน้าต่างกำหนดค่าแบบนี้

วิธีใช้ก็ง่ายๆ เลย ให้เราคลิกตรง click to edit ตรงช่อง Shortcut จากนั้นกดปุ่มที่เราต้องการ เช่นผมใช้เป็น Ctrl + Win + PgUp สำหรับเพิ่มเสียง และ Ctrl + Win + PgDn สำหรับลดเสียง จากนั้นตรงช่อง Action ให้เลือกคำสั่งที่ต้องการ (ในที่นี้ก็คือ Volume Up และ Volume Down) และกด Create เป็นอันเรียบร้อย

การกำหนดปุ่มลัดใน Spark จะเป็นทีละคำสั่ง ดังนั้นเราต้องเพิ่มปุ่มลัดสำหรับเพิ่มและลดเสียงแยกกัน

เสร็จ

จริงๆ โปรแกรมมันยังสามารถใช้สั่งอย่างอื่นได้ด้วย เช่นรันแอพหรือสคริปท์ที่ต้องการ หรือกำหนดช็อตคัทสำหรับพิมพ์อะไรยาวๆ ก็ได้เหมือนกัน

The post ตั้งค่าปุ่มเพิ่มลดเสียงบนแมค สำหรับคีย์บอร์ดแยก appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2021/06/%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%a2/feed/ 0 3615
แกะ Kindle DRM ด้วย Calibre /2020/08/calibre-crack-kindle-drm/ /2020/08/calibre-crack-kindle-drm/#respond Sat, 08 Aug 2020 17:53:02 +0000 /?p=3567 เมื่อปีที่แล้วเราเขียนถึงเครื่องอ่านอีบุ๊ก Onyx BOOX Nova ไป เรื่องหนึ่งที่เราพูดไว้นั่นคือการอ่านอีบุ๊กที่ซื้อบน Kindle Store ที่แอพ Kindle บนแอนดรอยด์นั้นทำงานบนหน้าจอ e-ink ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งทางเลือกของเราคือการใช้ Calibre ในการแกะ DRM ก่อน แล้วค่อยอิมพอร์ตเข้ามาอ่านบนเครื่อง รีวิว BOOX NOVA เครื่องอ่าน e-book หน้าจอ e-ink อย่างแรกที่ต้องมีเลยคือโปรแกรม Kindle บนคอมพิวเตอร์ ที่มีให้ดาวน์โหลดฟรีทั้งสำหรับแมค (Mac App Store) และ PC ทำการติดตั้งให้เรียบร้อย ดาวน์โหลด Kindle ในบทความนี้จะเป็นเวอร์ชันแมคนะครับ (บนวินโดวส์ก็จะมีวิธีคล้ายๆ กัน แต่ไดเรคทอรี่จะต่างกันนิดหน่อย) Calibre และ DeDRM Tools Calibre นั้นเป็นโปรแกรมจัดการอีบุ๊ก ที่มีความสามารถในการแปลงไฟล์ประเภทต่างๆ (เช่นแปลงเป็น epub) ส่วน DeDRM Tools นั้นเป็นปลั๊กอินที่ช่วยให้ …

The post แกะ Kindle DRM ด้วย Calibre appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
เมื่อปีที่แล้วเราเขียนถึงเครื่องอ่านอีบุ๊ก Onyx BOOX Nova ไป เรื่องหนึ่งที่เราพูดไว้นั่นคือการอ่านอีบุ๊กที่ซื้อบน Kindle Store ที่แอพ Kindle บนแอนดรอยด์นั้นทำงานบนหน้าจอ e-ink ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งทางเลือกของเราคือการใช้ Calibre ในการแกะ DRM ก่อน แล้วค่อยอิมพอร์ตเข้ามาอ่านบนเครื่อง

อย่างแรกที่ต้องมีเลยคือโปรแกรม Kindle บนคอมพิวเตอร์ ที่มีให้ดาวน์โหลดฟรีทั้งสำหรับแมค (Mac App Store) และ PC ทำการติดตั้งให้เรียบร้อย

ในบทความนี้จะเป็นเวอร์ชันแมคนะครับ (บนวินโดวส์ก็จะมีวิธีคล้ายๆ กัน แต่ไดเรคทอรี่จะต่างกันนิดหน่อย)

Calibre และ DeDRM Tools

Calibre นั้นเป็นโปรแกรมจัดการอีบุ๊ก ที่มีความสามารถในการแปลงไฟล์ประเภทต่างๆ (เช่นแปลงเป็น epub) ส่วน DeDRM Tools นั้นเป็นปลั๊กอินที่ช่วยให้ Calibre สามารถอ่านและแกะ DRM ของ Kindle ได้

เครื่องมือทั้งสองตัวนั้นสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี

หลังดาวน์โหลดมาแล้วให้ติดตั้ง Calibre ให้เรียบร้อย และแตกไฟล์ DeDRM Tools ทิ้งเอาไว้ จากนั้นให้เปิดโปรแกรม Calibre ขึ้นมา

เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาครั้งแรกจะมีให้เลือกรุ่นเครื่องอ่านอีบุ๊ก ใครไม่มีจะกดข้ามหรือเลือกเป็น generic ไปก่อนก็ได้ จากนั้นจะเจอหน้าจอหลักแบบนี้

หน้าจอหลักของ Calibre

ให้เราเปิดไปที่เมนู Preferences > Preferences เมื่อหน้าต่าง Preferences ขึ้นมาแล้วให้เลื่อนลงไปด้านล่างสุดจะเจอกับเมนู Plugins

หน้าต่าง Preferences

ให้เปิดหน้าต่าง Plugins ขึ้นมา

หน้าต่าง Plugins ของ Calibre

จากนั้นกดปุ่ม Get new plugins ที่มุมล่างซ้าย และติดตั้งปลั๊กอิน KFX Input ให้เรียบร้อย โดยกดเลือกปลั๊กอินและกดที่ปุ่ม Install ที่ด้านล่างขวา

เลือกติดตั้ง KFX Input

เมื่อติดตั้งปลั๊กอินเรียบร้อยแล้ว ให้ปิดหน้าต่าง User plugins และกลับมาที่หน้าต่าง Plugins หลักอีกครั้ง ในคราวนี้ให้เลือก Load plugins from file และเลือกไปที่โฟลเดอร์ DeDRM Tools ที่เราแตกไฟล์ทิ้งไว้ และเลือกไฟล์ DeDRM_Plugin.zip

ในโฟลเดอร์จะมีปลั๊กอิน Obok_plugin.zip อีกตัว สำหรับเอาไว้แกะ DRM ของ Kobo

เลือกปลั๊กอิน DeDRM

เมื่อติดตั้งปลั๊กอินเสร็จแล้วโปรแกรมจะพาเรากลับมายังหน้า Plugins หลัก ในรอบนี้ให้เราเปิดไปที่หมวด File typeเลือกปลั๊กอิน DeDRM และกดปุ่ม Customize plugin ด้านล่าง

เราจะเจอหน้าต่าง Customize เล็กๆ แบบนี้ ให้กดเลือกที่ Kindle for Mac/PC ebooks (ปุ่มล่างสุด)

จากนั้นปลั๊กอินจะเปิดหน้าต่างให้เราเพิ่ม Kindle key ขึ้นมา ให้เรากดปุ่ม + สีเขียวๆ ได้เลย (จะเปลี่ยนชื่อคีย์ก็ได้ ตามสะดวก)

เสร็จแล้วให้เราปิดหน้าต่างออกมาให้หมด มาถึงตรงนี้ Calibre ก็จะพร้อมที่จะแกะ DRM ของ Kindle แล้ว

การแกะ Kindle DRM

เมื่อเราติดตั้งโปรแกรม Kindle for Mac/PC เสร็จแล้ว ให้เราเปิดโปรแกรมขึ้นมาและล็อกอินด้วยบัญชี Amazon ที่เราซื้อหนังสือ แล้วอีบุ๊กทั้งหมดที่เราซื้อไว้จะแสดงขึ้นมาในหน้าหลัก (ใครอ่านบนคอมก็อ่านจากในตัวโปรแกรมได้เลย)

ให้เราเลือกดาวน์โหลดอีบุ๊กที่ต้องการด้วยการคลิกขวาแล้วเลือก Download (หรือจะดับเบิลคลิกเปิดขึ้นมาอ่านก็ได้เช่นกัน)

ต่อไปคือการหาโฟลเดอร์เก็บไฟล์อีบุ๊ก หรือ Content folder ของ Kindle โดยค่าเริ่มต้นแล้วไฟล์อีบุ๊กของ Kindle for Mac จะเก็บอยู่ที่

/Users/<Username>/Library/Containers/com.amazon.Kindle/Data/ Library/Application Support/Kindle/My Kindle Content

ส่วนของ Kindle for PC จะอยู่ที่

C:\Users\<Username>\Documents\My Kindle Content

ทั้งนี้เราสามารถเปลี่ยนตำแหน่งโฟลเดอร์นี้ได้จากเมนู Kindle > Preferences สำหรับ Kindle for Mac หรือ Tools > Options > Content สำหรับ Kindle for PC

เมื่อเราเปิด Content folder เข้าไป จะเจอกับโฟลเดอร์ชื่อแปลกๆ แบบนี้ เป็นอันถูกต้อง

ให้เรากลับมาที่โปรแกรม Calibre และกดปุ่ม Add books ที่มุมซ้ายบน และเลือกไปที่ Content folder ในเครื่องเรา เลือกโฟลเดอร์อีบุ๊กที่ต้องการ และให้เลือกไฟล์ AZW ซึ่งเป็นไฟล์หลักของอีบุ๊ก Kindle

ในโฟลเดอร์นี้เราจะไม่รู้เลยว่าแต่ละโฟลเดอร์นั้นคืออีบุ๊กเล่มไหน กว่าจะรู้ก็คือเราอิมพอร์ตเข้ามาแล้ว แต่เราสามารถใช้ทริคง่ายๆ อย่างเช่นการเลือกเรียงไฟล์ตามวันที่แก้ไขล่าสุด (last modified) ที่จะทำให้อีบุ๊กเล่มล่าสุดที่เรากดดาวน์โหลดนั้นขึ้นมาอยู่ด้านบนสุดเสมอ

จากนั้น Calibre จะอิมพอร์ตไฟล์อีบุ๊กเข้ามาและแสดงอยู่ในหน้าจอหลักของโปรแกรม

ถึงตอนนี้ไฟล์จะถูกแกะ DRM เรียบร้อยแล้ว เราสามารถแปลงไฟล์เป็นฟอร์แมตอื่น เช่น EPUB หรือ Mobi ได้ทันที หรืออย่างในกรณีเราใช้ BOOX Nova ที่ตัวเครื่องรองรับไฟล์ AZW แบบไม่ติด DRM ก็สามารถเสียบเครื่องเข้ากับคอม แล้วส่งไฟล์เข้าเครื่องได้ทันที

สำหรับการแปลงไฟล์นั้นให้เราเลือกอีบุ๊กเล่มที่ต้องการ และเลือกเมนู Convert books ที่แถบเครื่องมือด้านบน (อันนี้ลองเล่นกันเองนะครับ)

จริงๆ แล้ว DeDRM Tools ยังสามารถใช้แกะ Adobe DRM ได้ด้วย แต่จะใช้ได้กับเวอร์ชัน 2 เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับเวอร์ชันล่าสุดได้ ทำให้ DeDRM Tools ไม่สามารถใช้แกะ DRM ไฟล์ที่เราโหลดจากเว็บอย่าง Meb หรือ Hytexts หรือ Google Play Books ได้

The post แกะ Kindle DRM ด้วย Calibre appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2020/08/calibre-crack-kindle-drm/feed/ 0 3567
6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 /2019/06/6-days-trip-mandalay-bagan-part-3/ /2019/06/6-days-trip-mandalay-bagan-part-3/#respond Tue, 18 Jun 2019 17:42:50 +0000 /?p=3411 ต่อกันในตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายในทริป 6 วันครั้งนี้ 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 วันที่ห้า – กลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า จบจากพุกามก็ถึงเวลากลับไปยังมัณฑะเลย์อีกครั้งเพื่อรอกลับไทย โดยผมได้ให้ทางโรงแรมจัดการเรื่องตั๋วรถบัสกลับมัณฑะเลย์ให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงกำหนดเวลา ก็จะมีรถสองแถวใหญ่ขับมารับถึงที่โรงแรมเพื่อต่อไปสถานีขนส่งอีกทีหนึ่ง ในขากลับนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก รถวิ่งกลับเส้นทางเดิมที่เรามา และจอดพักที่ร้านเดิม เพิ่มเติมคือรถเสีย เมื่อกลับมาถึงมัณฑะเลย์ รถจะไปจอดที่ท่ารถ พอลงจากรถแล้วจะมีรถสองแถวใหญ่ (เป็นรถบรรทุกหกล้อ) ที่จะพาเราไปส่งตามโรงแรม โดยรถจะไปจอดถึงที่หน้าโรงแล้วเลย สำหรับคืนสุดท้ายที่นี่ เราพักที่ Hotel Mahar ซึ่งอยู่ห่างจาก Hotel Iceland ที่เราพักในคืนแรกประมาณหนึ่งกิโล ดังนั้นพวกร้านสะดวกซื้อ ร้านของกินต่างๆ (แน่นอนว่าผมกลับไปกินเบอร์เกอร์เนื้อปราศจากซอสมะเขือเทศที่ร้าน Mr.Burger เหมือนเดิม) ผมมาถึงโรงแรมตอนประมาณสามโมงครึ่ง เลยคิดว่าเอาวะ วันนี้ไปเดินห้างพม่ากัน พูดถึงการเดินทางในมัณฑะเลย์นิดนึง คือจริงๆ …

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ต่อกันในตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายในทริป 6 วันครั้งนี้

วันที่ห้า – กลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า

จบจากพุกามก็ถึงเวลากลับไปยังมัณฑะเลย์อีกครั้งเพื่อรอกลับไทย โดยผมได้ให้ทางโรงแรมจัดการเรื่องตั๋วรถบัสกลับมัณฑะเลย์ให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงกำหนดเวลา ก็จะมีรถสองแถวใหญ่ขับมารับถึงที่โรงแรมเพื่อต่อไปสถานีขนส่งอีกทีหนึ่ง

ในขากลับนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก รถวิ่งกลับเส้นทางเดิมที่เรามา และจอดพักที่ร้านเดิม เพิ่มเติมคือรถเสีย

เมื่อกลับมาถึงมัณฑะเลย์ รถจะไปจอดที่ท่ารถ พอลงจากรถแล้วจะมีรถสองแถวใหญ่ (เป็นรถบรรทุกหกล้อ) ที่จะพาเราไปส่งตามโรงแรม โดยรถจะไปจอดถึงที่หน้าโรงแล้วเลย

สำหรับคืนสุดท้ายที่นี่ เราพักที่ Hotel Mahar ซึ่งอยู่ห่างจาก Hotel Iceland ที่เราพักในคืนแรกประมาณหนึ่งกิโล ดังนั้นพวกร้านสะดวกซื้อ ร้านของกินต่างๆ (แน่นอนว่าผมกลับไปกินเบอร์เกอร์เนื้อปราศจากซอสมะเขือเทศที่ร้าน Mr.Burger เหมือนเดิม)

ผมมาถึงโรงแรมตอนประมาณสามโมงครึ่ง เลยคิดว่าเอาวะ วันนี้ไปเดินห้างพม่ากัน

พูดถึงการเดินทางในมัณฑะเลย์นิดนึง คือจริงๆ พม่ามีพวกรถเมล์รถสองแถวอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่พูดตรงๆ ว่าผมขึ้นไปมีหลงแน่ๆ เลยอาศัยการเดินทางยอดนิยมของพม่าอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือรถตุ๊กตุ๊กที่สามารถเรียกผ่านแอพได้

แอพเรียกรถที่นี่ที่เห็นใช้กันเยอะๆ ก็จะมี Get (เป็น Get ของพม่าเอง คนละเจ้ากับ Get ในไทย) และ Grab (ใช้แอพเดิม ไอดีเดิม บัตรเดิมกับที่ใช้ในไทยได้เลย) ค่าบริการกับส่วนลดต่างๆ ของฝั่ง Get จะดีกว่านิดหน่อย แต่ข้อเสียมหาศาลอย่างหนึ่งคือแอพ Get จะให้คนขับโทรคุยกับลูกค้า ซึ่งคนพม่าพูดภาษาอังกฤษกันก็ไม่ค่อยจะได้ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ จนต้องให้น้องพนักงานที่โรงแรมคุยให้ ถึงสื่อสารกันรู้เรื่องว่าจะไปไหนอะไรยังไง และตัวแอพก็ไม่ค่อยเสถียรด้วย เปิดมาดับไปหลายรอบมาก

ในขณะที่ Grab นั้นโดยรวมถือว่าดีกว่าเยอะ อย่างที่เราทราบกันว่าแอพ Grab คุยผ่านแอพได้ และมีฟีเจอร์แปลภาษาให้ในตัว เลยพอจะสื่อสารกันได้บ้าง แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่แพงกว่าอยู่นิดหน่อย

ส่วนตัวรถตุ๊กตุ๊กนั้นจะคล้ายกับของไทย (ในแอพ Grab เรียกรถสามล้อนี้ว่า Thone Bane) แต่มีขนาดเล็กกว่า และนั่งสบายกว่ามาก เพราะที่นั่งยกสูงขึ้นมาพอดี ไม่ได้เป็นที่นั่งตื้นๆ แบบตุ๊กตุ๊กไทย

ห้างที่จะไปวันนี้คือห้าง Yadanarpon Super Center (Sky Walk) และ Ocean Supercenter ซึ่งจริงๆ ตรงนี้จะเป็นห้างสองสามห้างอยู่ติดกัน ในห้าง Yadanarpon ลักษณะจะเก่าๆ ขลังๆ หน่อยคล้ายกับห้าง Imperial ลาดพร้าว ตัวห้างมีอยู่หกชั้น แต่เปิดจริงๆ ถึงแค่ชั้นสาม

ภายในห้างจะมีพวกร้านแบรนด์เนมอยู่ด้วยนะ ร้านเครื่องสำอางค์แบบที่เห็นในไทยก็พอมีบ้าง (ผมจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ลืมถ่ายรูปมาอีกต่างหาก) แต่ร้านส่วนใหญ่จะเป็นร้านของคนพม่าเอง ไม่ได้เป็นแบรนด์เฉพาะเจาะจง

อีกห้างที่อยู่ข้างๆ กันคือห้าง Ocean Supercenter ที่ห้างนี้ข้างบนจะเป็น Plaza เหมือนกับ Sky Walk แต่ชั้นใต้ดินจะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตบรรยากาศคล้ายๆ Tops Supermarket หรือ Tesco Lotus สาขาเล็กๆ มีร้านหนังสือพม่าอยู่ด้วย (ลืมถ่ายรูปอีกแล้ว)

สินค้าในนี้ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากไทยและจีน ลักษณะและสินค้าโดยรวมเหมือนกับเดินซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไทยเลย อย่างเช่นบะหมี่นิสชินกระป๋องนี้ ลิขสิทธิ์ญี่ปุ่น นำเข้าโดยนิสชินสิงคโปร์ ผลิตในประเทศไทย ขายที่ประเทศพม่า

พวกน้ำอัดลมที่นี่มี Coca Cola นะ โค้กสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ส่วนน้ำสีที่ปกติขายในชื่อ Fanta ในพม่าจะใช้ชื่อ Max+ แทน

รูปจากพุกาม

คุ๊กกี้กล่องแดงก็ตามมาหลอกหลอนถึงที่พม่า ไม่รู้ว่าที่นี่เขานิยมมอบคุ๊กกี้กล่องแดงให้กันในวันปีใหม่กันเหมือนในบ้านเราหรือเปล่า

อย่างหนึ่งที่จัดได้ว่าดีในนี้คือพวกผักผลไม้ คือมันก็ไม่ได้ดูดีพรีเมี่ยมแบบที่วางขายในสยามพารากอน แต่ถือได้ว่าสด และใหญ่โตมโหฬารมาก แบบนี้

อ้อ ที่พม่าคนจะนิยมกินโยเกิร์ตกันมากๆ ร้านค้าโชห่วยต่างๆ มักจะมีโยเกิร์ตออร์แกนิกขายด้วย

และในห้างนี้ก็มีขายเช่นกัน ที่เจอคือจะใส่มาในโอ่งน่ารักๆ แบบในรูป ภายในโอ่งก็จะมีตัวโยเกิร์ตเนื้อหยาบๆ เหลวๆ หน่อยตามประสาโยเกิร์ตออร์แกนิค และมีน้ำดำๆ หวานๆ มาให้ด้วย เดาว่าน่าจะเป็นน้ำตาลเคี่ยว เอามาใส่กินกับโยเกิร์ต

ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ กลับมาแล้ว (รวมถึงโยเกิร์ตโอ่งด้วย) ก็เดินออกมาดูรอบๆ ห้าง พบว่ามีร้านที่เราคุ้นเคยอย่าง KFC และ The Pizza Company ด้วย!

ทั้ง KFC และ The Pizza Company จะเป็นร้าน standalone ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้าง (แต่คนละทิศกัน)

ปกติเวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศ ผมมักจะชอบเดินหาร้านที่คุ้นเคย ที่เห็นว่ามีในไทย หรือเมนูไทยๆ แล้วลองเข้าไปกินเทียบกับที่เคยกินในไทยเอาสนุกๆ

ดังนั้นเราไม่พลาดที่จะเข้ามันทั้งสองร้าน! วันนี้เราจะเข้า KFC และวันพรุ่งนี้เราจะเข้า The Pizza Company

โดยส่วนตัวผมชอบการแต่งร้านของ KFC ที่นี่นะ แต่คุณภาพไก่ทอดยังสู้ไทยไม่ได้ ผมสั่งเบอร์เกอร์ไก่ซอสเผ็ดจีน (มันเขียนว่า Chinese spicy sauce เดาว่าน่าจะซอสหม่าล่า) ตัวเนื้อไก่ไม่ค่อยมีเนื้อเท่าไหร่ กัดไปเจอแต่แป้ง และไก่จะอมน้ำมันกว่า เลี่ยนกว่าในไทย

ถ้าไม่ถูกจริตกับอาหารพม่า และไม่อยากกินมาม่า ก็พอจะมากิน KFC ประทังชีวิตไปได้

แต่เอาจริงๆ พอกลับถึงที่พัก ก็ออกมากินเบอร์เกอร์เนื้อปราศจากซอสมะเขือเทศอยู่ดี

วันที่หก – เก็บตกพระราชวังมัณฑะเลย์ บินกลับไทย

จริงๆ ตามแผนเดิมคือจะเที่ยวพระราชวังมัณฑะเลย์วันจันทร์ แต่เนื่องจากหลงทิศทางเลยไม่ได้เที่ยว และเอามาเก็บตกในเช้าวันเสาร์แทน (เครื่องออกตั้งทุ่มนึง)

คือเรื่องของเรื่องนั้น เขตพระราชวังมัณฑะเลย์ที่เห็นเป็นกำแพงล้อมใหญ่ๆ มีคูเมืองล้อมอีกชั้นนั้น ตัวพระราชวังจริงๆ เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ ตรงกลางเท่านั้นเอง และพื้นที่รอบๆ ภายในกำแพงจะเป็นเหมือนค่ายทหาร และห้ามคนต่างชาติเข้า โดยถ้านักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปชมพระราชวังมัณฑะเลย์จะต้องเข้าที่ประตูตะวันออกเท่านั้น แต่ที่พักของผมดันอยู่ประตูตะวันตก ตอนผมเข้าไปทางประตูตะวันตกเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไปประตูทิศใต้นะ พอไปถึงประตูทิศใต้เจ้าหน้าที่ถึงบอกว่าให้เข้าประตูตะวันออก วันแรกเลยช่างแม่งแล้วเก็บไว้มาวันสุดท้ายแทน

ถ้าใครจำจากตอนแรกได้ ตอนที่เราไปเมืองอังวะ เราได้ซื้อตั๋ว Mandalay Archaeological Zone Fee Card ในราคา 10,000 จ๊าดเอาไว้ ตั๋วมีอายุ 7 วัน ดังนั้นเราสามารถเอามาเพื่อเข้าชมพระราชวังมัณฑะเลย์ต่อได้ทันที (ด่านตรวจตั๋วอยู่ที่หน้าพระราชวัง ไม่ใช่ประตูทางเข้า)

พอมาถึงทางเข้าแล้ว จะเป็นทางเดินเข้าไปต่ออีกประมาณ 900 เมตร เดินเอื่อยๆ หน่อยก็ประมาณ 15 นาที หรือถ้าใครขี้เกียจเดิน แถวนั้นก็จะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างและสองแถวเล็กให้บริการด้วยเช่นกัน

เดินเข้ามาเรื่อยๆ จะเห็นยอดพระราชวังอยู่ลิบๆ จุดตรวจตั๋วก็จะอยู่ตรงทางเข้าข้างหน้าเลย (มุมขวาในภาพ)

ตัวพระราชวังมัณฑะเลย์สร้างขึ้นมาช่วงสมัย ร.4 โดยพระเจ้ามินดง คือสมัยนั้นพม่ากำลังรบอยู่กับอังกฤษ และถือเคล็ดย้ายเมืองหลวงมาจากอมราปุระมาอยู่ที่มัณฑะเลย์แทน ตัวพระราชวังแต่เดิมนั้นสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระราชวังมัณฑะเลย์โดนฝ่ายอังกฤษทิ้งระเบิดเพราะคิดว่าเป็นแหล่งซ๋องสุมกำลังของฝ่ายญี่ปุ่นจนพระราชวังเดิมพังไปหมด

ต่อมารัฐบาลพม่าเลยทำการบูรณะขึ้นใหม่ตามแบบเดิม แต่ก็ไม่ได้เป็นไม้สักทั้งหมดเหมือนเดิม หลายๆ ส่วนถูกแทนที่ด้วยวัสดุสมัยใหม่ไปแล้ว

ภายในพระราชวังส่วนมากแล้วจะเป็นอาคารว่างๆ ไม่ได้มีการจัดแสดงอะไรเอาไว้เท่าไหร่นัก จะมีรูปจำลองของกษัตริย์พม่าอยู่บ้างในบางส่วน เช่นในท้องพระโรง หรือที่สิงหราชบัลลังก์

ผมเดินเอื่อยๆ อยู่ในบริเวณพระราชวังอยู่ราวชั่วโมงกว่าๆ ก็ทั่วแล้ว เลยเดินออกมาเพื่อไปหาอะไรกิน แน่นอนว่าเรากดเรียก Grab ไป Skywalk อีกแล้ว (ที่นี่ไม่เห็นวินท้องถิ่นจะมาวิ่งไล่กระทืบ Grab เหมือนบ้านเรานะ) และรอบนี้เราก็เข้าร้านไท๊ยไทยอย่าง The Pizza Company

การตกแต่งร้านก็จะคล้ายๆ ที่ไทย และมีบริการ Delivery ด้วย

รอบนี้ลองสั่งซี่โครงหมูบาบีคิวครึ่งชิ้นกับเฟรนช์ฟรายส์ กับพิซซ่าถาดเล็กมาทาน กับโค้กรีฟิลอีกแก้วนึง สำหรับราคาแล้วคิดว่าน่าจะพอๆ กับที่ไทย ซี่โครงครึ่งชิ้นกับเฟรนช์ฟรายส์ราคา 8000 จ๊าด หรือประมาณ 160 บาท ส่วนที่ไทยซี่โครงเต็มชิ้น อยู่ที่ 279 บาท

รสชาติรู้สึกต่างกับที่ไทยอยู่พอตัว เลี่ยนๆ ปะแล่มๆ กว่าที่ขายในไทยนิดหน่อย

ที่พม่านี่เวลาเราเข้าร้านอาหารพวกนี้ เวลาคิดเงินเขาจะติดสติกเกอร์ Commercial Tax มาให้ด้วย (ที่พม่าไม่มี VAT แต่จะมี Commercial Tax ที่คล้ายๆ VAT แต่จะคิดเฉพาะกับการขายสินค้าเท่านั้น ไม่คิดกับการขายบริการ)

ทั้งนี้ Commercial Tax นี้เอาไป Refund ไม่ได้ แล้วเค้าติดมาทำไมเนี่ย

สัมผัสชีวิตการการอาหารมื้อละเกือบสองหมื่น

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จก็กลับไปเอาของที่โรงแรม และขึ้นแท็กซี่ไปที่สนามบิน (แน่นอนว่าให้โรงแรมติดต่อให้เช่นเดิม) เพื่อรอกลับไทย

ไฟลท์กลับไทยนั้นออกประมาณทุ่มครึ่ง นี่ก็เล่นไปซะตั้งแต่บ่ายแก่ๆ กะว่าจะไปเช็คอินที่ตู้อัตโนมัติแล้วก็เข้าไปนั่งเล่นในเลาจ์บางกอกแอร์เวย์สวยๆ แต่แล้วก็พบว่าที่นี่ไม่มีตู้เช็คอินอัตโนมัติ 😰

สุดท้ายแล้วต้องนั่งกร่อยอยู่ที่คาเฟ่ในสนามบินจนเคาเตอร์เช็คอินเปิด เพราะในสนามบินนั้นแทบไม่มีอะไรเลย มีแค่ร้านแลกเงิน ร้านของฝากกึ่งๆ ร้านของชำ ร้านอาหาร และคาเฟ่อย่างละร้าน

กลับไทย

ทิ้งท้าย

สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ พม่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่ามาเที่ยวมากๆ โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเสียดายที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเกี่ยวกับพม่ามาก่อนเลย

คือตอนแรกที่หยุดยาว ผมกะจะนอนเปื่อยอยู่บ้านด้วยซ้ำ แต่พอหยุดวันแรก (25 มกราคม) อยู่ๆ ก็นึกคึกเปิด Skyscanner เล่น แล้วก็จองตั๋วบินวันที่ 28 เลย ซึ่งวันที่ 28 นั้นก็คือวันที่พาสปอร์ตของผมเหลือ 6 เดือนเป๊ะพอดีด้วย (คือถ้าบินวันที่ 29 ผมจะออกนอกประเทศไม่ได้แล้ว 555)

โดยส่วนตัวคิดว่าอาจจะต้องหาโอกาสกลับไปซ้ำอีกสักรอบ และคราวนี้อาจจะเปลี่ยนจากนั่งแท็กซี่เป็นเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับไปเอง (กูเกิลแมพใช้ได้!) และจะได้มีเวลาเต็มที่กับมันอีกสักหน่อย

ไว้เจอกันอีกทีนะ พม่า

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/06/6-days-trip-mandalay-bagan-part-3/feed/ 0 3411
รีวิว BOOX NOVA เครื่องอ่าน e-book หน้าจอ e-ink /2019/04/review-boox-nova-ebook-reader/ /2019/04/review-boox-nova-ebook-reader/#comments Wed, 03 Apr 2019 21:40:12 +0000 /?p=3422 โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างชอบอ่านหนังสือ แต่กลับขี้เกียจที่จะพกหนังสือไปไหนมาไหน เพราะมันหนัก! (อยู่บ้านก็เอาแต่เล่นกับแมว ไม่ได้อ่านหรอกหนังสือน่ะ) เลยคิดว่า เออ ซื้อเครื่องอ่าน e-book สักเครื่องดีกว่า ซึ่งจริงๆ ก็จ้องเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะที่งานหนังสือครั้งก่อน ร้าน Hytexts (น่าจะร่วมมือกับ Meb) ก็ได้มาเปิดบู้ทขายเครื่องอ่าน e-book ที่งานหนังสือด้วย แต่เสียดายว่าตอนนั้นเครื่องต้องพรีออเดอร์ เลยไม่ได้สั่ง (ใจร้อนครับ อยากได้เลย) แต่งานหนังสือคราวนี้เขามีเครื่องพร้อมขายแล้ว เลยจัด BOOX NOVA มาเครื่องหนึ่ง สนนราคาที่ 10,490 บาท (ร้านมีโปรผ่อน 0% 4 เดือนกับทางซิติแบงก์, กรุงเทพ, กรุงศรี, และกรุงไทยอยู่นะ ใครไม่ทันงานหนังสือหรือไม่สะดวกไป ก็ซื้อผ่านเว็บ Hytexts ได้เหมือนกัน มีโปรผ่อนเหมือนกัน) ซื้อมาใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา วันนี้เลยถือโอกาสมารีวิวให้อ่านกัน อ้อ ถ้ารอได้และไม่ต้องการประกันไทย สามารถสั่งจาก AliExpress ได้ในราคาประมาณ 8,500 – 9,500 บาท …

The post รีวิว BOOX NOVA เครื่องอ่าน e-book หน้าจอ e-ink appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างชอบอ่านหนังสือ แต่กลับขี้เกียจที่จะพกหนังสือไปไหนมาไหน เพราะมันหนัก! (อยู่บ้านก็เอาแต่เล่นกับแมว ไม่ได้อ่านหรอกหนังสือน่ะ) เลยคิดว่า เออ ซื้อเครื่องอ่าน e-book สักเครื่องดีกว่า ซึ่งจริงๆ ก็จ้องเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะที่งานหนังสือครั้งก่อน ร้าน Hytexts (น่าจะร่วมมือกับ Meb) ก็ได้มาเปิดบู้ทขายเครื่องอ่าน e-book ที่งานหนังสือด้วย แต่เสียดายว่าตอนนั้นเครื่องต้องพรีออเดอร์ เลยไม่ได้สั่ง (ใจร้อนครับ อยากได้เลย)

แต่งานหนังสือคราวนี้เขามีเครื่องพร้อมขายแล้ว เลยจัด BOOX NOVA มาเครื่องหนึ่ง สนนราคาที่ 10,490 บาท (ร้านมีโปรผ่อน 0% 4 เดือนกับทางซิติแบงก์, กรุงเทพ, กรุงศรี, และกรุงไทยอยู่นะ ใครไม่ทันงานหนังสือหรือไม่สะดวกไป ก็ซื้อผ่านเว็บ Hytexts ได้เหมือนกัน มีโปรผ่อนเหมือนกัน) ซื้อมาใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา วันนี้เลยถือโอกาสมารีวิวให้อ่านกัน

อ้อ ถ้ารอได้และไม่ต้องการประกันไทย สามารถสั่งจาก AliExpress ได้ในราคาประมาณ 8,500 – 9,500 บาท

สเป็คเครื่อง

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ BOOX NOVA ต่างกับ e-reader ชื่อดังอย่าง Kindle ของ Amazon คือไส้ในมันจริงๆ แล้วเป็นแอนดรอยด์ ทำให้เราสามารถลงแอพของร้านต่างๆ เพิ่มได้ด้วย (Kindle จะอ่านได้เฉพาะหนังสือที่ซื้อจาก Kindle หรือพวกที่ได้มาเป็นไฟล์และไม่ติด DRM เท่านั้น ดังนั้นใครซื้อจากร้านที่ติด DRM อย่าง Meb หรือ Google Play Books ก็หมดสิทธิ์)

  • Android 6.0.1 ปรับแต่งมาสำหรับเครื่องอ่าน e-book โดยเฉพาะ
  • ซีพียู 4 คอร์ 1.6 GHz
  • แรม 2GB (เหลือเฟือสำหรับการอ่านหนังสือ)
  • พื้นที่ 32GB ใส่เม็มไม่ได้
  • แบต 2800 mAh (อ่านมาสามวันแล้วยังไม่หมดเลย)
  • มี Bluetooth และ Wifi ในตัว ต่อเน็ตเปิดเว็บได้ แต่ไม่เวิร์กเท่าไหร่
  • จอ e-ink ขนาด 7.8 นิ้ว ความละเอียด 1404×1872 ที่ 300DPI (เท่ากับที่ใช้ปรินท์นิตยสาร) แสดงผลเป็นขาวดำ 16 ระดับ
  • ชาร์จและเชื่อมต่อกับคอมผ่านพอร์ต USB-C (ไม่รองรับ fast charge)
  • ปุ่มด้านล่างเป็นปุ่ม Back ไม่ใช่ปุ่ม Home

ถ้าเทียบแค่สเป็คต่อราคา แถมเป็นขาวดำอีกต่างหาก ดูยังไงก็คงไม่คุ้ม และแท็บเล็ตปกติอาจจะคุ้มค่ากว่า แต่เอาจริงๆ แล้ว e-reader แบบนี้มีข้อได้เปรียบแท็บเล็ตธรรมดาอยู่หลายข้อที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเงินที่ต้องจ่าย โดยเฉพาะเรื่องหน้าจอ (เดี๋ยวลองเลื่อนไปดูข้างล่างครับ)

แกะกล่อง

กล่อง BOOX NOVA นี่ถือว่าดูดีมาก ดูแพง (ว่าไปมันก็แพงจริงๆ) และแถมเคสมาให้ด้วยอีกชิ้นนึง ซึ่งดูแล้วเคสน่าจะไว้ใช้กับ BOOX NOVA PRO ได้ด้วย เพราะมีช่องเสียบปากกา

ตัวกล่องเป็นกระดาษแข็งเคลือบด้าน ดึงออกแล้วจะเจอกล่องจริงที่เป็นกระดาษแข็งเคลือบด้านเหมือนกันอีกชั้นหนึ่ง ข้างในกล่องมีแค่ตัวเครื่อง สายชาร์จ (ไม่มีหัวชาร์จมาให้นะ มีแต่สาย USB-C) และคู่มือภาษาอังกฤษ/จีน (ภาษาไทยทางร้านมีแจกแยกให้) ตัวเครื่องก็ห่อพลาสติกไว้อีกชั้นหนึ่ง

ซอฟต์แวร์ภายในเครื่อง

ทางร้านบอกว่าเปิดเครื่องมาให้ทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถเปิดใช้งาน Google Play ได้ ทั้งนี้การเปิด Google Play จะมีขั้นตอนเพิ่มเติมนิดหน่อย อ่านตามจากคู่มือได้เลย

ตัวเครื่องมันเองนั้นมาพร้อมกับโปรแกรมอ่าน e-book ในตัวอยู่แล้ว (แหงล่ะ) และมาพร้อมกับร้านขาย e-book ของ JD ซึ่งส่วนมากก็เป็น e-book ภาษาจีน ดังนั้น ปิดทิ้งครับ โดยเราจะสามารถปิดร้านของ JD ทิ้งได้ผ่านหน้า Settings (แต่เมนูจะยังอยู่ ลบออกไม่ได้)

โปรแกรมอ่าน e-book ที่มากับเครื่องนั้นสามารถอ่านไฟล์ที่ไม่ติด DRM ได้ค่อนข้างครบครัน ทั้งไฟล์ .mobi .epub หรือ .pdf (และอื่นๆ อีกเพียบ) สามารถแบ่งหนังสือเป็นโฟลเดอร์ได้

ใครที่เคยใช้ e-reader ของ Onyx รุ่นอื่นมาก่อน เช่น BOOX Carta จะจำได้ว่าตัว Neo Reader ที่มากับเครื่องนั้นสามารถอ่าน e-book ที่ติด DRM ของ Adobe Digital Editions ได้ด้วย แต่ Neo Reader ใน BOOX NOVA นี้จะไม่สามารถอ่านไฟล์ที่ติด DRM ของ ADE ได้อีกแล้ว ถ้าต้องการอ่านไฟล์ที่ติด DRM ของ ADE (เช่นไฟล์ที่ซื้อจาก Hytexts เอง หรือที่ดาวน์โหลดมาจาก Google Play Books) จะต้องติดตั้งโปรแกรม Adobe Digital Editions จาก Play Store ก่อน

ในด้านฟีเจอร์การอ่านก็มีค่อนข้างครบ คือมีสารบัญ เลือกหน้าได้ คั่นหน้าได้ พิมพ์โน้ตได้ ปรับขนาดตัวหนังสือ ระยะห่างบรรทัด ระยะห่างย่อหน้า ระยะขอบ ได้หมด สามารถทำ text-reflow ได้อย่างสวยงาม (ทั้งนี้ยังไม่ได้ลองกับ e-book ภาษาไทย แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร) มีพจนานุกรมในตัว

วิธีเปิดเมนูคือกดไปตรงกลางหน้าจอ (ไม่ปัดนะ) ส่วนมุมจอทั้งสี่เราสามารถตั้งใน Settings ของแอพได้ว่าจะให้มันทำอะไรบ้าง

ฟีเจอร์อย่างนึงที่ผมค่อนข้างชอบคือไฟ front light (เป็นไฟให้ความสว่างเฉยๆ ถ้าเข้าใจไม่ผิดไฟ front light จะฉายออกมาจากขอบจอ) ที่สามารถปรับสีโทนอุ่นโทนเย็นแยกจากกันได้ด้วย

ตรงนี้คือดีมากโดยเฉพาะคนชอบเอามานอนอ่านก่อนนอน สามารถปรับแสดงให้สบายตาได้อย่างง่ายดาย

สำหรับใครที่จะเอามาเปิดเว็บ หรือใช้งานแอพต่างๆ (เตือนตรงนี้ว่ามันไม่ได้เรื่องเลย) ก็สามารถกดเปิดโหมด A2 เพื่อลดความละเอียดจอได้ ซึ่งจะช่วยให้จอตอบสนองเร็วขึ้น และ refresh จอน้อยลง

สำหรับร้าน e-book ที่ลงเพิ่มมี 3 ร้านด้วยกันคือ

  1. Meb: E-Reader
  2. Google Play Books
  3. Amazon Kindle

ไล่กันเป็นตัวๆ ไป เริ่มจาก Meb: E-Reader เป็นแอพของร้าน Meb ที่ออกมาสำหรับเครื่องอ่าน e-book ที่ใช้จอ e-ink โดยเฉพาะ ตัดเอ็ฟเฟ็กท์วูบวาบออกไป (ไม่งั้นมันแสดงผลไม่ทัน) ปุ่มกดอะไรใหญ่โตกดถนัด เสียอย่างเดียวว่าซื้อหนังสือผ่านแอพนี้ไม่ได้ ต้องไปกดซื้อในแอพเวอร์ชันเต็มแล้วซิงก์มาอ่านเอาเอง

จริงๆ Hytexts เองก็มีแอพสำหรับ e-reader ด้วย แต่ผมไม่ค่อยได้ซื้อหนังสือจาก Hytexts เท่าไหร่ เว็บเขาช้ามาก

ตัวต่อมาคือ Google Play Books ว่ากันจริงๆ แอพนี้ยังไม่ได้ใช้จริงๆ จังๆ เพราะเคยซื้อไว้แค่เล่มเดียว (คอลเล็คชัน Ender’s Game รวม 5 เล่ม มัดรวมอยู่ในเล่มเดียวเกือบสองพันหน้า) ตัวแอพนี้จริงๆ น่าจะออกแบบมาสำหรับแท็บเล็ตจอปกติ แต่สามารถเอามาอ่านบนจอ e-ink ได้ดีในระดับหนึ่ง เท่าที่ลองดูยังไม่เจอปัญหาแอพงงระหว่างแตะและปัดเปลี่ยนหน้า (เจอใน Kindle) เรื่องหนึ่งที่ควรบอกไว้คือการซูมแบบถ่างจอของมัน จะเป็นการซูมหน้าเข้าไปตรงๆ เหมือนซูมรูป ไม่ใช่การปรับขนาดฟอนต์แบบในแอพอื่น

และตัวสุดท้ายคือ Amazon Kindle แอพที่เจนสนามที่สุดแต่ออกมาพังที่สุด แอพทำงานค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับตัวอื่น และปัญหาที่สุดของมันคือการเปลี่ยนหน้า ที่บางทีกดเปลี่ยนหน้าแบบแตะจอแล้วแอพเข้าใจว่าเป็นการปัด (แล้วมันก็ปัดไปให้แค่ครึ่งหน้า) หรือบางทีกดเปลี่ยนหน้าไปแล้วมันโหลดข้ามหน้าไปก็มี สรุปแล้วผมใช้ Calibre แปลงไฟล์ Kindle ออกไปเป็น ePub แล้วเอาไปอ่านกับตัวอ่านของเครื่องเข้าท่าที่สุด

อ่านบนจอ e-ink เป็นอย่างไรบ้าง

จริงๆ หลายปีก่อนผมเคยซื้อแท็บเล็ตมาตัวหนึ่ง กะจะเอาไว้อ่านหนังสือนี่แหละ แต่พอเอามาใช้จริงแล้วพบว่าไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ เพราะการจ้องจอแบบนั้นไปนานๆ จะทำให้ปวดตาและแสบตา จะเอาไปอ่านขณะอยู่บนรถก็ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะทำให้เมารถ เวียนหัวและคลื่นไส้ แถมแสงจากจอยังรบกวนคนอื่นอีกต่างหาก ซึ่งสุดท้ายแท็บเล็ตตัวนี้เหลือเอาไว้แค่เพื่ออ่านคอมมิคฝรั่งที่เป็นภาพสีเท่านั้น และได้ใช้แค่เฉพาะตอนอยู่บ้าน

แต่สำหรับ BOOX Nova ที่มีหน้าจอ e-ink นั้น ผมตอบสั้นๆ แบบกำปั้นทุบดินเลยคือสุดยอดมาก ความรู้สึกจะต่างจากอ่านบนจอปกติโดยสิ้นเชิง อ่านบนรถได้โดยไม่เวียนหัว แสงจอไม่แสบตา องศาการอ่านกว้างเหมือนกระดาษจริง เม็ดสีบนจอเป็นเม็ดสีจริง ไม่ใช่การผสมแสงแบบจอทั่วไป ดังนั้นเอาไปนั่งอ่านกลางแจ้งได้สบายมาก

ข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งเลยก็คือหน้าจอของ BOOX NOVA นั้นมีความละเอียดสูงถึง 300DPI ระดับเดียวกับที่ใช้พิมพ์หนังสือหรือนิตยสารจริงๆ ทำให้ตัวหนังสือบนจอนั้นคมชัดเหมือนกับอ่านจากกระดาษจริงด้วย

ใครยังนึกไม่ออก สามารถลองไปเดินดูตาม B2S ได้เลย หลายๆ สาขามีเครื่องให้ลอง (เห็นจอเหมือนของ mock แบบนั้น ของจริงนะ) ส่วนถ้าใครไม่สะดวกไป ให้นึกถึงพวกมือถือหรือแท็บเล็ตปลอมที่ตั้งโชว์ตามตู้ ที่มันจะพิมพ์ภาพหน้าจอออกมาแล้วใส่เอาไว้ในตัวเครื่องเปล่า ความรู้สึกมันแบบนั้นเลย เหมือนกำลังอ่านอยู่บนวัสดุจริง (ส่วนตัวว่ามันไม่เหมือนกระดาษหนังสือเสียทีเดียว ออกแนวเหมือนพลาสติกหรือกระดาษเคลือบมากกว่า)

โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าใครชอบอ่านหนังสือ อยากพกไปอ่านขณะอยู่นอกบ้าน แต่ไม่ชอบ e-book เพราะอ่านบนจอแล้วปวดตา หรือขี้เกียจพกหนังสือเพราะมันหนัก อันนี้แนะนำมากๆ ว่าให้ซื้อเครื่องอ่าน e-book ติดตัวไว้เลยสักเครื่องครับ ชีวิตดีแน่นอน

และสุดท้ายคือใครที่จะเอาไปใช้เหมือนเป็นแท็บเล็ตปกติ ลงแอพเปิดเว็บดูวิดีโอ เตือนไว้ก่อนเลยว่าอย่าหาทำครับ ไม่เวิร์กมากๆ

ซื้อ ebook

ว่ากันจริงๆ ราคาปกติของ e-book นั้นก็ไม่ได้ถูกกว่าแบบเล่มสักเท่าไหร่ (บางเล่มที่ e-book แพงกว่าเล่มจริงก็เคยเจอ) ดังนั้นถ้าเน้นคุ้มค่าแนะนำให้ลองเช็คราคาดีๆ ก่อนในหลายๆ ร้าน ทั้งนี้เราก็มีโอกาสเจอหนังสือลดราคาบ่อยกว่าแบบเล่มด้วยเช่นกัน อย่าง Leviathan wakes นี่ราคาเต็ม 300 กว่าบาท ก็ได้มาตอนลดราคาเหลือประมาณร้อยเดียวเท่านั้น

สำหรับร้าน Meb นั้น ถ้าใครถือบัตร The 1 ของเครือเซ็นทรัล หนังสือส่วนมากสามารถไปซื้อเอาจาก The 1 Book แทนได้ โดยเราสามารถล็อกอินด้วยบัญชี Meb ได้เลย และหนังสือที่ซื้อก็จะไปโผล่ใน Meb สามารถใช้แอพของ Meb ดาวน์โหลดหนังสือมาอ่านได้ตามปกติ แต่ The 1 Book จะมีข้อได้เปรียบอยู่นิดหน่อยตรงที่เวลาซื้อเราจะได้แต้ม The 1 ด้วย (ต้องผูกกับบัตร The 1 ก่อน) และสามารถใช้แต้ม The 1 แลกหนังสือมาอ่านก็ได้เช่นกัน ส่วนหนังสือนั้นเท่าที่เห็นหลายคนบอกกันคือ The 1 Book จะมีหนังสือเกือบทั้งหมดของ Meb แต่อาจจะมีบางเล่มที่ไม่ลงหรือลงช้ากว่า แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนน้อย

ทั้งนี้การจะซื้อหนังสือจากร้านอื่นนอกเหนือจาก Meb, The 1 Book, Hytexts, และ Kindle อาจจะเสียความสะดวกในการอ่านไปเล็กน้อย เพราะร้านส่วนใหญ่จะขายหนังสือที่ติด Adobe DRM ที่ต้องใช้แอพ Adobe Digital Edition ในการอ่าน โดยแม้ว่าแอพ ADE จะทำงานได้ดีระดับหนึ่งบนจอ e-ink แต่ก็ยังรู้สึกไม่สะดวกเท่ากับแอพที่ออกแบบมาเพื่อจอ e-ink จริงๆ อย่างเช่นตัวอ่านของเครื่อง หรือแอพของ Meb/Hytexts (จริงๆ จะเลือกซื้อเฉพาะเล่มที่เป็น DRM-Free ก็ได้ สามารถดาวน์โหลด EPUB มายัดลงเครื่องได้เลย อย่างรวม Ender’s Game ที่ผมซื้อมาจาก Google Play ก็เป็น DRM-Free)

สำหรับคนที่ซื้อหนังสือจาก Kindle เราสามารถใช้โปรแกรม Calibre และปลั๊กอิน DeDRM ในการถอด DRM ของ Kindle แล้วแปลงเป็น EPUB จากนั้นก็สามารถเอาไปอ่านด้วยแอพของเครื่องได้เลย

ส่วน ebook ที่เป็นไฟล์ PDF นั้นสามารถอ่านได้เช่นกัน แต่ไฟล์ PDF ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับการ reflow ข้อความ ดังนั้นถ้าเป็นไฟล์ที่หน้าใหญ่มากๆ อาจจะไม่สะดวกในการอ่านสักเท่าไหร่ เพราะต้องคอยซูมเข้าซูมออกและเลื่อนไปมา ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดมากๆ บนจอ e-ink

The post รีวิว BOOX NOVA เครื่องอ่าน e-book หน้าจอ e-ink appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/04/review-boox-nova-ebook-reader/feed/ 16 3422
6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 /2019/03/6-days-trip-mandalay-bagan-part-2/ /2019/03/6-days-trip-mandalay-bagan-part-2/#respond Wed, 20 Mar 2019 21:24:44 +0000 /?p=3362 จริงๆ ตอนแรกกะจะเขียนยาวทีเดียวจบ แต่พอมากดพรีวิวแล้วเห็นว่าบล็อกยาวเป็นกิโลเลย เลยตัดสินใจว่าเราจะหั่นบล็อกเที่ยวพม่านี่ออกเป็น 2 หรือ 3 ตอนก็แล้วกัน 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 วันที่สาม – ไปพุกาม เช้าวันถัดมาก็จัดการธุระทุกอย่างให้เรียบร้อยและเช็คเอาท์โรงแรม จากนั้นก็นั่งรออยู่ที่โรงแรมนั่นแหละ รถบัสจะวนมารับให้เอง (จะมารับก่อนเวลารถออกประมาณครึ่งชั่วโมง) จากนั้นก็คือมุ่งหน้าไปยังพุกาม ทางระหว่างมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง คือเป็นถนนเส้นใหญ่ราดยางตลอดสาย (จริงๆ บางช่วงก็เป็นซีเมนต์เปลือยๆ) มีการทำถนนใหม่อยู่บางช่วงด้วย ข้อดีอย่างหนึ่งคือทางจากมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นเป็นที่ราบทั้งหมด ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วย ดังนั้นโดยรวมแล้วนั่งค่อนข้างสบาย และตลอดสองข้างทางนั้นจะเป็นพวกไร่นาเกือบทั้งหมด ระหว่างทางรถจะมีจุดจอดพักอยู่จุดหนึ่ง ตรงนี้เราจะสามารถเข้าห้องน้ำ กินข้าว หรือซื้อของกินเล่นได้ ซึ่งก็จะมีพวกผลไม้ นกย่าง (น่าจะใช่) มันฝรั่งทอด และเต้าหู้ทอดที่หน้าตาเหมือนซาลาเปาทอดน้ำ เต้าหู้ทอดนี่เป็นอะไรที่ฝังใจมากๆ เพราะตอนถามว่ามีไส้มั้ย (What’s the filling?) แม่ค้าตอบมาว่า “มีท” …

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
จริงๆ ตอนแรกกะจะเขียนยาวทีเดียวจบ แต่พอมากดพรีวิวแล้วเห็นว่าบล็อกยาวเป็นกิโลเลย เลยตัดสินใจว่าเราจะหั่นบล็อกเที่ยวพม่านี่ออกเป็น 2 หรือ 3 ตอนก็แล้วกัน

วันที่สาม – ไปพุกาม

เช้าวันถัดมาก็จัดการธุระทุกอย่างให้เรียบร้อยและเช็คเอาท์โรงแรม จากนั้นก็นั่งรออยู่ที่โรงแรมนั่นแหละ รถบัสจะวนมารับให้เอง (จะมารับก่อนเวลารถออกประมาณครึ่งชั่วโมง) จากนั้นก็คือมุ่งหน้าไปยังพุกาม

ทางระหว่างมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง คือเป็นถนนเส้นใหญ่ราดยางตลอดสาย (จริงๆ บางช่วงก็เป็นซีเมนต์เปลือยๆ) มีการทำถนนใหม่อยู่บางช่วงด้วย ข้อดีอย่างหนึ่งคือทางจากมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นเป็นที่ราบทั้งหมด ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วย ดังนั้นโดยรวมแล้วนั่งค่อนข้างสบาย และตลอดสองข้างทางนั้นจะเป็นพวกไร่นาเกือบทั้งหมด

ระหว่างทางรถจะมีจุดจอดพักอยู่จุดหนึ่ง ตรงนี้เราจะสามารถเข้าห้องน้ำ กินข้าว หรือซื้อของกินเล่นได้ ซึ่งก็จะมีพวกผลไม้ นกย่าง (น่าจะใช่) มันฝรั่งทอด และเต้าหู้ทอดที่หน้าตาเหมือนซาลาเปาทอดน้ำ

มันไม่ใช่ซาลาเปาทอดน้ำ มันคือเต้าหู้ทอดทั้งก้อน รสชาติมันๆ เลี่ยนๆ ไม่มีไส้ใดๆ

เต้าหู้ทอดนี่เป็นอะไรที่ฝังใจมากๆ เพราะตอนถามว่ามีไส้มั้ย (What’s the filling?) แม่ค้าตอบมาว่า “มีท” ในใจก็กรุ้มกริ่มว่าได้กินเนื้อแล้วโว้ยยยย 😂

ใครที่เคยอ่านรีวิวทริปมัณฑะเลย์-พุกามน่าจะเคยได้ยินว่าระหว่างทางมันมีสะพานแห่งหนึ่งที่เป็นสะพานเลนเดียว แล้วใช้ร่วมกันทั้งรถยนต์และรถไฟ อยากบอกว่าตอนนี้เขากำลังสร้างสะพานใหม่คู่กันอยู่ ในอนาคตรถคงวิ่งสวนกันได้ และทางรถไฟก็แยกต่างหากออกไป

สะพานใหม่ที่สร้างอยู่คู่กัน (ภาพถ่ายตอนขากลับ)

รถจากมัณฑะเลย์จะมาจอดถึงแค่ท่ารถซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกมาสักหน่อย (ต่างกับของมัณฑะเลย์ที่อยู่ในตัวเมืองเลย) ดังนั้นเมื่อมาถึงแล้วเราต้องนั่งรถต่อเข้าไป คือตอนที่หาอ่านรีวิวจะมีบอกว่ามีรถฟรีไปส่งที่เมือง แต่เท่าที่มองหาดูไม่พบรถฟรีสักคัน เจอแต่แท็กซี่ สุดท้ายเลยโบกแท็กซี่ไปโรงแรม

โรงแรมที่มานอนคืนนี้คือโรงแรม Grand Empire Hotel ที่ตั้งอยู่ในบริเวณตลาด Mani Sithu ที่เป็นตลาดเช้าอันขึ้นชื่อของที่นี่ (แต่ไม่ได้ไปเดิน) อ้อ โรงแรมนี้ไม่รับบัตรเครดิต

เช็คอิน

มาถึงที่พุกามก็บ่ายแก่ๆ แล้ว เลยออกไปเดินสำรวจในย่านนี้สักหน่อย และลองกินอาหารพม่าข้างทางดูบ้าง (สภาพโดยรวมของที่นี่ดูสะอาดกว่าที่มัณฑะเลย์) รอบนี้ก็ได้ลองบะหมี่พม่ากับหมูที่คล้ายๆ ขาหมู (น่าจะเป็นหมูจุ่มพม่าที่เขาร่ำรือกัน)

ตัวบะหมี่เปล่าๆ จะออกเลี่ยนๆ หน่อย ต้องใส่เครื่องปรุงที่เขามีมาให้ (น่าจะเป็นซอสเย็นตาโฟ ซีอิ๊ว พริกป่น แล้วก็พริกน้ำส้ม) ส่วนที่อร่อยจริงๆ คือน้ำซุป อร่อยมาก สนนราคา 2,200 จ๊าด ถ้าจำไม่ผิด

อีกอันที่สงสัยว่าจะเป็นหมูจุ่ม มันเป็นพวกเครื่องในหมู เคี่ยวรวมกับหมูสองชั้น (ใช่แล้ว มันคือหมูสองชั้น มีแต่หนังกับมัน ไม่มีเนื้อ) เอามาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟมาในถ้วยเล็กๆ ราดน้ำจิ้มรสชาติเหมือนน้ำจิ้มลูกชิ้นแป้งทอดรสปลาในบ้านเรา กับมีน้ำซุปมาให้อีกหน่อย ราคาอยู่ที่จานละ 1,000 จ๊าด

สิ่งหนึ่งที่ค้นพบคือในย่านนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อที่เป็นแบรนด์ใหญ่เหมือนอย่างในมัณฑะเลย์ (แต่ดันมีร้าน Mi Store ซึ่งไม่รับบัตรเครดิต) แต่จะมีร้านสะดวกซื้อแบบธุรกิจครอบครัวที่เปิดขาย 24 ชั่วโมง

วันที่สี่ – เที่ยวพุกาม ดูอาทิตย์ขึ้น ลุยทะเลเจดีย์

มาถึงพุกามแล้วก็ต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเจดีย์ที่มาพร้อมกับบอลลูนชมวิวนับสิบลูกที่พานักท่องเที่ยวขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากมุมสูง

การจะมาชมวิวที่นี่ถ้าจะจ้างแท็กซี่ก็คือต้องติดต่อล่วงหน้าเอาไว้ (แน่นอนว่าให้โรงแรมหาให้ได้เช่นกัน) และแท็กซี่จะมารับเราตั้งแต่ช่วงเช้ามืดประมาณตีสี่ครึ่งถึงห้า หรือถ้าใครเช่ามอเตอร์ไซค์เอาไว้แล้วพอรู้ทิศรู้ทาง จะขับไปเองก็ได้เช่นกัน แต่ต้องระวังสักหน่อยเพราะในโซนทะเลเจดีย์จะไม่มีไฟทางเลย

จริงๆ จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นยอดฮิตคือเจดีย์ทัตบินยูซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงใหญ่ที่สุดในพุกาม แต่แผ่นดินไหวใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของเจดีย์ ทางการพม่าจึงปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวจากบนเจดีย์ได้อีก เราเลยได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากบนพื้นแทน (เขาทำเป็นเนินดินสูงๆ เอาไว้ให้เราขึ้นมาดูได้ น่าจะสูงแค่ประมาณสองถึงสามเมตรเท่านั้น)

หลังจากชมวิวก็กลับมาทานมื้อเช้าที่โรงแรมก่อนที่แท็กซี่จะมารับออกไปเที่ยวพุกาม ในมื้อเช้านี้ได้ลองของใหม่อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ “ขนมจีนพม่า” (ถ้าค้นมาไม่ผิด น่าจะเรียกว่า โมฮิงกา) น้ำยาของพม่านี่หน้าตาดูเผินๆ จะคล้ายกับน้ำเงี้ยวผสมน้ำยาป่า รสชาติจะกลมกล่อมมาก ไม่หวาน ไม่เลี่ยน มีรสเผ็ดแซมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นอาหารพม่าที่ชอบที่สุดในทริปนี้เลย

อ้อ จริงๆ แล้วขนมจีนที่เรากินกันเนี่ย มันไม่ใช่อาหารจีนนะ แต่เป็นอาหารมอญ (ชนกลุ่มหนึ่งในพม่า) ดังนั้นว่ากันจริงๆ ขนมจีนพม่าน่าจะดั้งเดิมกว่าขนมจีนไทย

พอกินมื้อเช้าเสร็จสักพัก แท็กซี่ก็มารับไปเที่ยวโบราณสถานในพุกามกันต่อ

สภาพโดยรวมของตัวเมืองพุกามเก่าคือมันจะเป็นทุ่งกว้างๆ แล้วมีเจดีย์อยู่ทั่วไป มีเจดีย์ใหญ่ๆ อย่างเจดีย์ทัตบินยูที่เป็นเหมือนไฮไลท์ แต่น่าเสียดายว่าหลังเกิดแผ่นดินไหว ทำให้ทางการพม่าปิดไม่ให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนของเจดีย์ได้อีก

เจดีย์ชเวสิกอง
วัดอนันดา
เจดีย์ทัตบินยู
วิหารธรรมยาจี
วิหารสุลามณี

เนื่องด้วยมีเวลาไม่ค่อยมาก และไม่ได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวพุกามมาก่อน ประกอบกับคนขับรถพูดไม่รู้เรื่องเลย เลยกลายเป็นชะโงกทัวร์ไปแบบงงๆ รู้ตัวอีกทีก็บ่ายแล้ว เลยแวะกินข้าวเที่ยงก่อนสักครู่หนึ่ง

มื้อเที่ยงของวันนี้เป็นอาหารพม่าแท้ๆ อีกมื้อ ที่สั่งมาจริงๆ คือจะมีแค่แกงหมูอะไรสักอย่าง (ในเมนูบอกเป็น Pork Curry) หน้าตาคล้ายๆ มัสมั่นแต่รสไม่ใช่ และกินไปกินมาพบว่านี่มันมัสมั่นมันหมูชัดๆ ส่วนในถ้วยที่เหลือจะเป็นเหมือนเครื่องเคียง เรียงจากสองอันบน คือผักอะไรสักอย่าง กับคล้ายๆ ปลาทอด (สองอันนี้ไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร) ส่วนแถวล่างจะเป็นพริกแห้งตำ มัสมั่นหมู ถั่วงอก และข้าวโพด

ถ้าย้อนกลับขึ้นไปดูรูปตอนเช้าที่ไปดูอาทิตย์ขึ้น จะเห็นหอคอยสูงๆ แห่งหนึ่งที่หน้าตาดูไม่โบราณเท่าไหร่ ถูกต้องครับ มันเป็นของใหม่ หอคอยแห่งนี้เป็นหอชมวิวตั้งอยู่ในเขตของเอกชนคือ Aureum Palace Hotel & Resort ค่าขึ้น $5 หรือประมาณ 8,000 จ๊าด ข้างบนสามารถเห็นวิวรอบพุกามได้ทั้งหมด

หลังจากตรงนี้ก็เหมือนจะเป็นช่วงเบรค คือเหมือนคนขับก็หมดมุกว่าจะพาไปไหน เลยพาตะลอนชมรายทางไปเรื่อยๆ เพื่อรอปิดวันตรงพระอาทิตย์ตก ซึ่งตรงนี้คนขับพาไปนั่งเรือเล่นที่ย่านพุกามใหม่ด้วย

เจดีย์รายทาง

เรือที่ไปนั่งนี่เหมือนจะเป็นเรือญาติคนขับเอง ตัวคนขับบอกว่าค่านั่งจะถูกกว่าไปนั่งตรงท่าเรือหลักอยู่นิดหน่อย ($15 หรือถ้าจะจ่ายเงินจ๊าดจะเป็น 25,000 จ๊าด แพงกว่านิดหน่อย)

นั่งเรือเที่ยวตรงนี้อาจจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำสักเท่าไหร่นัก เรือวิ่งวนๆ อยู่บริเวณใกล้ๆ และมีจอดให้ขึ้นไปดูไร่หอมแดงริมแม่น้ำด้วย อันนี้โดยส่วนตัวผมว่าวิวจุดนี้ถือว่าสวย และค่อนข้างแปลกตาจากแม่น้ำในไทยอยู่ไม่น้อย แต่เวลาเดินต้องระวังต้นหอมที่เขาปลูกไว้ด้วย

นั่งเรือหางยาวในแม่น้ำอิรวดี
ไร่ต้นหอมริมแม่น้ำอิรวดี
ดินริมแม่น้ำอิรวดีส่วนมากแล้วจะเป็นดินทรายที่ร่วนมากๆ

หลังจากเตร็ดเตร่อยู่พักใหญ่ ตอนเย็นคนขับก็พามาชมอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเราจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเจดีย์เล็กๆ แห่งนี้ โดยจะมีบันไดทางเข้าเล็กๆ อยู่ด้านหลังเจดีย์ (เป็นบันไดในตัวเจดีย์เลย ค่อนข้างมืดและชัน ขาลงเตรียมเปิดไฟฉายได้เลย)

คนเป็นล้าน

จบวันที่สี่ลงพร้อมกับแบตกล้องที่หมดสนิทพอดี (ไม่ได้พกที่ชาร์จไปด้วย) คนขับก็พากลับมายังโรงแรมที่พักของเรา

และมื้อเย็นมื้อสุดท้ายในพุกาม เราฝากท้องไว้กับร้าน CAFE F.R.I.E.N.D.S. (ที่ไม่เกี่ยวกับซีรี่ส์ชื่อเดียวกันนี้แต่อย่างใด) ร้านนี้ตั้งอยู่แถวๆ ตลาด Mani Sithu ตอนแรกก็สองจิตสองใจไม่กล้าเข้า แต่พอเข้าไปแล้วพบว่ามีเมนูอาหารที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ และรสชาติใช้ได้ ไม่เลี่ยนไม่มัน ผิดกับอาหารพม่าที่กินมาตลอดทริป (ไม่แน่ใจเมนู จะเคลมว่าเป็นร้านอาหารไทยก็ไม่กล้า)

และเราก็จบวันที่สี่ของเราเพียงเท่านี้

ต่อในตอนที่ 3

ในสองวันสุดท้ายเราจะกลับไปยังมัณฑะเลย์ และลองเดินห้างในพม่าดูกันครับ

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/03/6-days-trip-mandalay-bagan-part-2/feed/ 0 3362
6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 /2019/02/6-days-trip-mandalay-bagan-part-1/ /2019/02/6-days-trip-mandalay-bagan-part-1/#comments Sat, 16 Feb 2019 18:25:30 +0000 /?p=3286 ที่ทำงานของผมนั้นจะมีการปรับวันหยุดใหม่ทุกๆ สิ้นเดือนมกราคา ซึ่งวันหยุดจากปี 2018 ของผมเหลืออยู่ 5 วัน เลยจำเป็นต้องใช้ให้หมด สรุปแล้วเลยลางานยาวตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ไปยันวันที่ 1 กุมภาพันธ์ (ใช้วันหยุด 2019 อีกวันหนึ่ง) โดยในตอนแรกก็นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรกับวันหยุดดี คืนวันที่ 25 มกราคม เลยลองกดเว็บ Skyscanner เล่นไปเรื่อยแล้วพบว่า เห้ย ตั๋วไปกลับมัณฑะเลย์รวมๆ แล้วห้าพันเศษๆ เองว่ะ (บางกอกแอร์เวย์ด้วยนะ) เลยตกลงว่า โอเค ไปพม่าดีกว่า ด้วยความที่ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับพม่า และอยากไปเที่ยวแบบสบายๆ เลยจัดแพลนหลวมๆ ประมาณนี้ วันจันทร์บินไปมัณฑะเลย์ เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน วันอังคารเที่ยวมัณฑะเลย์และเมืองรอง (ได้ไปสกาย มิงกุน อังวะ และจบที่สะพานไม้อูเบ็ง) แล้วนอน วันพุธเดินทางไปพุกาม ถึงแล้วก็เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน วันพฤหัสฯ เที่ยวพุกาม แล้วนอน วันศุกร์เดินทางกลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า …

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ที่ทำงานของผมนั้นจะมีการปรับวันหยุดใหม่ทุกๆ สิ้นเดือนมกราคา ซึ่งวันหยุดจากปี 2018 ของผมเหลืออยู่ 5 วัน เลยจำเป็นต้องใช้ให้หมด สรุปแล้วเลยลางานยาวตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ไปยันวันที่ 1 กุมภาพันธ์ (ใช้วันหยุด 2019 อีกวันหนึ่ง) โดยในตอนแรกก็นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรกับวันหยุดดี คืนวันที่ 25 มกราคม เลยลองกดเว็บ Skyscanner เล่นไปเรื่อยแล้วพบว่า เห้ย ตั๋วไปกลับมัณฑะเลย์รวมๆ แล้วห้าพันเศษๆ เองว่ะ (บางกอกแอร์เวย์ด้วยนะ) เลยตกลงว่า โอเค ไปพม่าดีกว่า

ด้วยความที่ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับพม่า และอยากไปเที่ยวแบบสบายๆ เลยจัดแพลนหลวมๆ ประมาณนี้

  1. วันจันทร์บินไปมัณฑะเลย์ เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน
  2. วันอังคารเที่ยวมัณฑะเลย์และเมืองรอง (ได้ไปสกาย มิงกุน อังวะ และจบที่สะพานไม้อูเบ็ง) แล้วนอน
  3. วันพุธเดินทางไปพุกาม ถึงแล้วก็เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน
  4. วันพฤหัสฯ เที่ยวพุกาม แล้วนอน
  5. วันศุกร์เดินทางกลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า แล้วนอน
  6. วันเสาร์บินกลับกรุงเทพ

ส่วนที่พักทั้งหมดจองผ่าน Booking.com เป็นโรงแรมห้องเดี่ยวทั้งหมด ตกที่ประมาณคืนละ 300-400 บาทเท่านั้น (ราคาแพงกว่าโฮสเทลที่นอนห้องรวมอยู่ไม่กี่บาท แต่ได้เป็นห้องแยกและได้ห้องน้ำส่วนตัว ถึงมันจะห้องเล็กหน่อยแต่ถือว่าคุ้ม)

วันที่หนึ่ง – ไปมัณฑะเลย์

เที่ยวบินที่ไปคือ PG709 เครื่องออกเวลา 12:15 เป็นครั้งแรกที่ได้นั่ง Shuttle ไปขึ้นเครื่อง

แอบเสียดายเหมือนกันที่ขาไปไม่ได้แวะเลานจ์บางกอกแอร์เวย์เพื่อไปกินข้าวต้มมัดในตำนาน (บินกับบางกอกแอร์เวย์มาสองสามครั้ง ยังไม่เคยได้เข้าเลานจ์ในสุวรรณภูมิเลย)

สำหรับการแลกเงินนั้น ให้แลกเงินไทยเป็นดอลลาร์สหรัฐให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยเอาดอลลาร์สหรัฐมาแลกเป็นเงินจ๊าดในพม่าอีกที จะได้เรตที่ดีกว่าเอาเงินไทยแลกเป็นเงินจ๊าดโดยตรง ทั้งนี้ทางที่ดีผมแนะนำว่าให้พกเงินทั้งเงินจ๊าดและเงินดอลลาร์ไว้ทั้งคู่จะดีที่สุด เพราะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ (โดยเฉพาะแท็กซี่นำเที่ยวเนี่ย) มักจะบอกราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ และในหลายๆ ครั้งถ้ายืนยันจะจ่ายด้วยจ๊าด จะกลายเป็นแพงกว่าเดิม

ผมแลกเงินไทยไป $250 หรือเกือบๆ 8,000 บาท ซึ่ง $250 นี้แลกเงินจ๊าดได้ประมาณ 370,000 กับเศษอีกนิดหน่อย โดยอัตราแลกเปลี่ยน บาท > จ๊าด จะอยู่ประมาณ 48-49 บาท ดังนั้นสามารถตีกลมๆ ได้ว่า 5,000 จ๊าด จะประมาณ 100 บาท

เช่นตอนที่ผมโดนพาไปนั่งเรือที่พุกาม เขาจะคิดราคาที่ $15 ซึ่งจะเท่ากับประมาณ 22,800 จ๊าด แต่ถ้าจะจ่ายเป็นจ๊าดเขาจะคิดที่ 25,000 จ๊าด (ต่างกันประมาณ 50 บาท)

พอมาถึงที่สนามบินมัณฑะเลย์แล้วเราจะต้องต่อรถไปที่ตัวเมืองอีกที เราจะมีตัวเลือกหลักๆ 2 อย่างคือ

  1. รถตู้/รถมินิบัส ค่าตั๋วจะถูกหน่อย (ประมาณ 4000 จ๊าด) แต่จะออกเป็นรอบ ทุกชั่วโมง
  2. แท็กซี่ส่วนตัว ราคา 12,000 จ๊าด จ่ายปุ๊บออกทันที

ตอนแรกที่ผมอ่านรีวิวมาคือถ้านั่งรถตู้หรือรถมินิบัส รถจะขับไปส่งถึงที่พักเลย แต่พอซื้อตั๋วเสร็จแล้วมาถามคนขับ พบว่ารถจะไปจอดถึงแค่สถานีรถไฟมัณฑะเลย์เท่านั้น (จะวนส่งให้ก็ต่อเมื่อโรงแรมอยู่ก่อนถึงสถานีรถไฟ) ซึ่งโรงแรมที่ผมพักจะอยู่ไกลออกไปอีกหน่อย รถจะไม่ไปส่งให้ และต้องต่อรถเอาเอง สุดท้ายด้วยความขี้เกียจเลยยอมทิ้ง 4,000 จ๊าดแล้วเรียกแท็กซี่ไปดีกว่า

พูดถึงเรื่องรถราแล้ว ที่พม่านั้นตามกฎหมายคือจะใช้รถพวงมาลัยซ้าย และขับชิดขวา แต่ว่าในประเทศมีรถพวงมาลัยซ้ายไม่พอใช้ ทางการเลยอนุโลมให้ใช้รถพวงมาลัยขวาได้ และไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ารถส่วนใหญ่จะเป็นพวงมาลัยขวาหมด (ตั้งแต่รถส่วนตัวยันรถแท็กซี่) จะมีพวงมาลัยซ้ายก็คือรถบัสและรถของรัฐเท่านั้น แทบไม่มีรถส่วนตัวเป็นพวงมาลัยซ้ายเลย

ในเรื่องถนนหนทางนั้นแม้ว่าถนนในพม่าจะมีราดยางตลอด แต่คุณภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผิวไม่ค่อยเรียบ (แต่ก็ไม่ได้เป็นหลุมเป็นบ่อนะ มันแค่ไม่เรียบ) และเส้นจราจรก็ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่

ที่พักแรกของทริปนี้คือที่ Hotel Iceland ที่นี่เป็นโรงแรมธรรมดานี่แหละ แต่มีห้องอาหารจะอยู่บนดาดฟ้า (เห็นว่าเป็นบาร์ด้วย แต่กลางคืนไม่ได้ขึ้นไปหรอก) ตอนแรกว่าจะไปเที่ยวพระราชวังมัณฑะเลย์ก่อนแล้วไปดูอาทิตย์ตกที่มัณฑะเลย์ฮิลล์ แต่พอเช็คอินแล้วเผลอหลับไปแป๊บนึง ดังนั้นเลยต้องพับแผนที่ว่าทิ้งไป เหลือแค่เดินเล่นรอบๆ แทน

มาพูดถึงเรื่องอาหารการกินกันบ้าง เอาจริงๆ วันแรกนี้ผมก็ยังไม่ได้กินอาหารพม่านะ ได้จบที่ซื้อมาม่ามาต้มกินแทน คือแม้ว่าที่นี่จะไม่มี 7-11 แต่ก็จะมีร้านสะดวกซื้อ Coco (หน้าตาคล้ายๆ แฟมิลีมาร์ท) และร้าน Grab & Go ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงให้เราได้ไปซื้อของกินประทังความหิวได้บ้าง

ในมัณฑะเลย์นี้นอกจากร้านอาหารพม่า (ที่มีตั้งแต่ร้านในตึกเป็นที่เป็นทาง ไปยันร้านข้างทาง) ก็ยังพอมีอาหารต่างชาติด้วย ซึ่งในมัณฑะเลย์นี้มีแม้กระทั่ง KFC และ The Pizza Company (อันนี้ได้กินวันศุกร์-เสาร์ ก่อนกลับไทย) และเห็นมีร้านปิ้งย่างยากินิกุที่มีเนื้อวากิว A5 ด้วย (ไม่ได้กิน) ส่วนพวกขนมพม่าก็จะมีขายอยู่ตลอดตามข้างทาง

ข้อควรระวังของคนที่จะมาเที่ยวพม่าคืออาหารพม่าหลายอย่างประกอบด้วยถั่วลิสง ดังนั้นคนแพ้ถั่วลิสงต้องระวังกันสักหน่อย ผมก็แพ้อะไรไปสักอย่างเหมือนกัน กินไปได้สองสามคำแล้วเริ่มคันปาก เลยเลิกกินไป

ย้อนกลับมาที่เรื่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและร้าน Coco นิดนึง คือบะหมี่แบรนด์ไทยอย่างมาม่า ยำยำ และไวไว มีขายครบ ซึ่งมันมีทั้งแบบที่ผลิตจากในไทย (เท่าที่เห็นไวไวจะผลิตในไทย) และที่ผลิตในพม่า (มาม่าและยำยำ) ซึ่งที่นี่เราจะได้เห็นซองรุ่นเก่าที่ไม่ได้เห็นในไทยแล้ว หรือแม้แต่รสแปลกๆ ที่ไม่เห็นในไทย อย่างยำยำ Xcite รสหม่าล่า (มันคือยำยำ ที่ซองเหมือนกับไวไวควิกบ้านเรา)

ที่ผมไม่เห็นคือมาม่ารสหมูสับ แต่พวกรสต้มยำกุ้งนี้มีครบ (มียำยำรสต้มยำกุ้งด้วย ในไทยนี่ผมว่าไม่เห็นมานับสิบปีแล้วมั้ง) ส่วนพวกบะหมี่เกาหลีรสเผ็ดต่างๆ ก็มีให้เลือกกินเช่นกัน

ในด้านเครื่องดื่ม น้ำเปล่ามีขายตั้งแต่ขวดละ 100 จ๊าดไปถึง 300 จ๊าด โค้กขวด 600 มิลลิลิตรขายตามร้านโชห่วยในราคา 600 จ๊าด (ถ้าเป็นในร้านอาหารหรือตามที่ท่องเที่ยว จะเป็น 1,000 จ๊าด) ทั้งนี้รู้สึกว่าแบบขวดจะหาค่อนข้างยาก ส่วนมากขายเป็นกระป๋องมากกว่า

อีกอันนึงที่ผมว่าน่าซื้อติดกระเป๋าไว้สักสามสี่อันคือเนื้อเผ็ดพร้อมทานอันนี้ (เจอในร้าน Coco) ดูจากภาษาแล้วน่าจะนำเข้าจากจีน รสชาติเผ็ดๆ กึ่งโอเค กึ่งแปลก เอาไว้กินประทังความหิวตอนเที่ยวระหว่างวันได้

เนื้อเผ็ดพร้อมทาน อันขวาบนมีถั่วเป็นส่วนประกอบ

วันที่สอง – เที่ยวเมืองรอง สะกาย มิงกุน อังวะ และสะพานไม้อูเบ็ง

ตอนเราเช็คอินที่โรงแรม เราสามารถให้โรงแรมช่วยจัดการจองตั๋วไปพุกามให้ได้เลย (ราคา 9,000 จ๊าด หรือประมาณ $6 จะถูกกว่าจองออนไลน์เองอยู่เกือบเท่าตัว) และสามารถให้โรงแรมติดต่อหาแท็กซี่นำเที่ยวได้ โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 55,000 – 60,000 จ๊าด (ประมาณ $35-$40)

สำหรับมื้อเช้ามื้อแรกนี้จะขึ้นมากินบนดาดฟ้าของโรมแรม ซึ่ง Hotel Iceland นี้จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดในละแวกนั้น สามารถเห็นวิวในมัณฑะเลย์ได้อย่างทั่วถึงจากชั้นดาดฟ้า (ตอนเช้าก็ขึ้นไปกินข้าวไปชมวิวไปได้)

ตอนเช้าในมัณฑะเลย์ กับอากาศประมาณ 17 องศา

จากที่เคยบอกไปแล้วว่าอาหารพม่าจะมีส่วนประกอบเป็นถั่วลิสงจำนวนมาก อันนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คือให้ลองดูอาหารเช้าของโรงแรมจานนี้

ในจานนี้คือจะมีคล้ายๆ ผัดเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจะผัดร่วมกับถั่วลิสงป่น (แบบที่เราใส่ก๋วยเตี๋ยวกินกัน) ตัวข้าวผัดนัดมีผัดรวมกับถั่วลิสงแบบเม็ด ผัดข้าวโพดเข้าใจว่าไม่มีถั่ว ส่วนเกี๊ยวทอดจะเป็นไส้ถั่วบด

มานึกๆ อีกที ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคือถั่วลิสงนิ่มๆ หรือถั่วลูกไก่

จริงๆ นอกจากอาหารแล้ว ขนมพื้นเมืองของพม่าก็มีส่วนประกอบเป็นถั่วลิสงเหมือนกัน เช่นขนมอันนี้ (เรียกว่าอะไรไม่รู้ เนื้อร่วนๆ ย่างไฟ ราดน้ำกะทิ) ก็จะมีถั่วลิสงประกอบอยู่เหมือนกัน (เห็นเหลืองๆ ทีแรกผมนึกว่าเม็ดบัว กินไปจริงๆ มันคือถั่วลิสง)


กลับมาที่เรื่องเที่ยวของเราหน่อย ทริปที่ไปนี้จะเป็นทริปสำเร็จรูปที่แท็กซี่นำเที่ยวจะพาไป นั่นคือไปเมืองรองรอบๆ มัณฑะเลย์ ได้แก่ สะกาย, มิงกุน, และอังวะ จากนั้นจึงย้อนกลับมาดูออาทิตย์ตกที่สะพานไม้อูเบ็ง

อย่างหนึ่งที่อยากแนะนำให้เอาติดไม้ติดมือไปด้วย (นอกจากเนื้อเผ็ดข้างบน) คือพวกกระติกสูญญากาศหรือกระติกเก็บความเย็นต่างๆ ให้เทน้ำเย็นอะไรให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง เพราะระหว่างทางขับรถไปแต่ละที่ค่อนข้างจะไกล และไม่ได้มีร้านขายของตลอดทางแบบในไทย แม้แท็กซี่บางคันจะมีน้ำให้แต่ก็มักจะแช่อยู่ในลังโฟม (บางคันไม่แช่ด้วยซ้ำ) ซึ่งแป้บเดียวมันก็หายเย็น

ที่แรกที่คนขับรถพาไปคือวัดพระมหามุนี ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระมหามัยมุนี หนึ่งในพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่า ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีการย้ายไปประดิษฐานที่นั่นที่นี่อยู่หลายครั้ง ก่อนจะมาจบที่เมืองมัณฑะเลย์

คนพม่าเชื่อว่าพระมหามัยมุนีนั้นมีชีวิต ดังนั้นในทุกๆ วันตอนตีสี่ก็จะมีพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนีด้วย (แต่ผมตื่นไม่ทัน อดดู)

สำหรับคนที่จะเข้าไปถ่ายรูปในวัดพระมหามุนีจะต้องจ่ายค่าทำเนียมด้วย (น่าจะประมาณ 1,000 จ๊าดถ้าจำไม่ผิด)

การเข้าวัดที่นี่ (รวมถึงเจดีย์และโบราณสถานที่เป็นศาสนสถานต่างๆ) จะต้องถอดทั้งถุงเท้าและรองเท้า และนุ่งผ้ามิดชิดด้วย (เขาจะมีโสร่งให้ในกรณีที่เราใส่ขาสั้น)

นอกจากพระมหามัยมุนีแล้ว ในวัดยังมีส่วนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของต่างๆ อยู่ด้วย ทั้งภาพวาดประวัติความเป็นมาของพระมหามัยมุนี สถานที่จำลองต่างๆ อาวุธโบราณ และของที่แต่ละประเทศถวายให้วัด (มีของไทยด้วย)

ผมใช้เวลาอยู่ในส่วนพิพิธภัณฑ์นานมาก (นานขนาดคนขับบอกว่านานไปโว้ย คนอื่นไม่เห็นใครนานขนาดนี้ 😂) พอออกมาแล้วแท็กซี่เลยรีบขับพาไปที่วัดมหากันดายงค์ต่อ

ที่แท็กซี่รีบพามาเพราะว่าเป็นเวลาที่เหล่าสามเณรเดินแถวออกมาฉันเพลพอดี ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ที่บรรดานักท่องเที่ยวจะมาถ่ายรูปกัน

หลังเหล่าสามเณรเดินแถวกันหมดแล้ว แท็กซี่ก็พาออกจากเมืองข้ามแม่น้ำอิรวดีไปยังเมืองสะกายต่อ (จริงๆ เมืองนี้สะกดว่า ซะไกง์ แต่คนไทยจะคุ้นกับชื่อ สะกาย กันมากกว่า)

อ้อ ตอนขับออกจากมัณฑะเลย์ข้ามมายังสะกาย จะมีด่านเก็บค่าผ่านทางอยู่ด้วย ตรงนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเท่าไหร่ เพราะแท็กซี่จะเป็นคนจ่าย

แม่น้ำอิรวดีเป็นแม่น้ำที่ใหญ่มาก แต่ว่าแม่น้ำนี้ค่อนข้างแห้ง ตื้น และมีเนินทรายโผล่พ้นน้ำอยู่ตลอด (ดูแล้วน่าจะเพราะไปช่วงที่น้ำลดพอดี ช่วงฤดูฝนน้ำน่าจะเยอะกว่านี้) แม่น้ำนี้ถือเป็นแม่น้ำสายหลักของพม่าที่พาดยาวตั้งแต่ตอนเหนือไปออกทะเลอันดามัน และเป็นเส้นทางการค้าหลักของพม่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ

สะกายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสถานศึกษา (น่าจะมีทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเหมือนจะเห็นพวกวิทยาลัยสงฆ์อยู่ที่นี่เหมือนกัน) และเป็นที่ที่คนจากมัณฑะเลย์จะมาเล่าเรียนกัน

ระหว่างที่กำลังขึ้นสะกายฮิลล์ก็เจอกับชีพม่า (น่าจะใช่นะ) ที่จะนุ่งผ้าสีชมพู ต่างกับชีไทยที่นุ่งผ้าสีขาว ซึ่งที่พม่านี่มีแม่ชีเยอะมากและสามารถเห็นได้ทั่วไป (ที่สะกายนี่น่าจะเป็นที่เรียนของชีด้วย เลยเห็นเยอะมาก แต่ในมัณฑะเลย์เองก็เห็นอยู่บ่อย)

ว่ากันว่าในพม่านี่แทบทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง จะผ่านการบวชเรียนมาแล้วอย่างน้อยก็ช่วงหนึ่งของชีวิต

บนสะกายฮิลล์เป็นที่ตั้งของวัดเจดีย์ Soon U Ponya Shin (ไม่แน่ใจว่าอ่านว่าอะไร) ที่บนนี้นอกจากตัววัดแล้วยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นสะกายได้ทั้งเมือง และยังเห็นสะพานข้ามแม่น้ำอิรวดีทั้งสองสะพานคู่กันด้วย (เสียดายว่าวันที่ไปฝุ่นเยอะมาก ภาพเลยมัวมาก)

และในบริเวณวัดใกล้ๆ กันยังมีเจดีย์ของบรรดาทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในพม่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ด้วย

อ้อ และในวัดนี้จะต้องจ่ายค่าทำเนียมการเข้าไปถ่ายรูปด้วยเช่นกัน

ข้างบนนี้ก็จะมีของกินขายอยู่บ้าง เช่นพวกขนมขบเคี้ยว น้ำดื่ม และขนมพม่า ที่มีลักษณะเป็นแป้งหนึบๆ (คล้ายๆ พวกตะโก้ หรือขนมชั้น) บางอันก็เป็นพวกข้าวเหนียวหวานๆ และแน่นอนว่ามีถั่วผสม

อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างสะพรึงกับขนมพวกนี้คือแม่ค้าจะใส่น้ำมันลงไปคลุกด้วยเพื่อไม่ให้ขนมมันติดกัน ทำให้เราได้ถุงที่มันแผล่บและขนมที่ชุ่มไปด้วยน้ำมัน (น่าจะเป็นน้ำมันงา) กินกันให้เลี่ยนไปข้าง

เสร็จจากสะกายก็ขับรถลงเขาเพื่อมุ่งหน้าสู่มิงกุน ถนนลงเขานี้เป็นราดปูนซีเมนต์ธรรมดา ขนาดกว้างแค่พอรถวิ่งผ่านคันเดียวแบบพอดีคันจริงๆ น่าหวาดเสียวมาก

ระหว่างทางนี้คนขับก็พาแวะกินข้าว ซึ่งน่าจะนับได้ว่าเป็นอาหารพม่ามื้อแรกจริงๆ โดยร้านที่ไปกินนี้ (น่าจะเป็นร้านประจำของคนขับ) จะเป็นเส้นหมี่คลุกกับซอสอะไรสักอย่างรสชาติเผ็ดๆ เนื้อร่วนๆ หน่อย มีความเลี่ยนเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วผมว่ากินได้อยู่ แต่ที่อร่อยที่สุดคือซุปอะไรสักอย่างที่เอามาให้กินคู่กัน

อ้อ นอกจากนี้ยังมีเหมือนเป็นเครื่องเคียงหรือของไว้ทานเล่นสักอย่าง เป็นแป้ง (มั้ง) ทอดกับข้าวโพด มีลูกชิ้นปลา และถั่วงอกเหี่ยวๆ ตัวแป้งนี่จะเลี่ยนๆ หน่อย แต่โดยรวมผมว่ามันอร่อยดีนะ (น่าเสียดายว่ากินไปสักพักผมรู้สึกคันปากยิบๆ ขึ้นมา เลยหยุดกิน)

โอเค เรามาถึงมิงกุนกันแล้ว ที่นี่จะเสียค่าเข้าด้วย (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 5,000 จ๊าด) เมื่อจ่ายแล้วจะได้สติ๊กเกอร์มาอันนึง จะสามารถเข้าชมโบราณสถานแถวๆ นั้นได้ทั้งหมด ทั้งตัวเจดีย์จักรพรรดิ ระฆังมิงกุน และเจดีย์ชินพิวเม

จริงๆ ถ้าใครมีเวลามากๆ จะล่องเรือจากมัณฑะเลย์มามิงกุนก็ได้เหมือนกัน ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง

ที่แรกที่แวะคือเจดีย์จักรพรรดิที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าปดุง (หลังจากช่วงสงครามเก้าทัพสักพักหนึ่ง) ตามแผนเดิมนั้นเจดีย์จักรพรรดิมีแผนที่จะสร้างให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่โตที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิ ใหญ่กว่าเจดีย์ทัตบินยูในพุกาม ใหญ่กว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม เมื่อสร้างเสร็จจะมีความสูงรวมราว 150 เมตร (ตอนที่หยุดสร้างนั้นสูงประมาณ 50 เมตร) ซึ่งเจดีย์จักรพรรดินี้ต้องใช้ทั้งเงินทั้งแรงงานจำนวนมหาศาล และอาจจะทำให้ประเทศล้มละลายได้ เลยมีการปล่อยคำทำนายออกมาว่าประเทศจะเทศจะล่มจม (บ้างก็ว่ากษัตริย์จะสิ้นพระชนม์) เมื่อเจดีย์สร้างเสร็จ เพื่อให้ยืดระยะก่อสร้างออกไป จนกระทั่งพระเจ้าปดุงสวรรคตไปก่อน จากนั้นการก่อสร้างเจดีย์จึงหยุดลง

ข้างๆ เจดีย์จักรพรรดิจะมีระฆังมิงกุนที่จัดได้ว่าเป็นระฆังที่ยังใช้งานได้ใบที่ใหญ่ที่สุดในโลกในตอนนี้ ซึ่งระฆังใบนี้ก็ถูกสร้างมาเพื่อคู่กับเจดีย์จักรพรรดินั่นแหละ

ยังครับ ความจัดใหญ่ไฟกระพริบของเจดีย์จักรพรรดิยังไม่จบ ที่ด้านหน้าของเจดีย์ (ฝั่งหันเข้าแม่น้ำอิรวดี) จะมีการก่อรูปปั้นสิงโตสองตัวเพื่อเป็นเหมือนสิงโตเฝ้าเจดีย์ไว้ด้วย ซึ่งจริงๆ สิงโตคู่นี้สร้างเสร็จแล้ว แต่พังลงตอนเกิดแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อปี 2016 ไกด์บอกว่าหัวสิงโตหัวหนึ่งหักลงแล้วกลิ้งหายไปในแม่น้ำอิรวดีนี่เอง

ใกล้ๆ กันกับเจดีย์จักรพรรดิจะมีเจดีย์สีขาวอีกองค์หนึ่งคือเจดีย์ชิวพิวเม ที่ได้ฉายาว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี เพราะเจดีย์สีขาวแห่งนี้เป็นเจดีย์ที่พระเจ้าบากะยีดอว์สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักต่อพระมหาเทวีชิวพิวเม

ออกจากมิงกุน คนขับรถก็พากลับไปสะพานไม้อูเอ็งเพื่อรออาทิตย์ตก แต่ระหว่างทางกลับก็พาแวะเมืองอังวะก่อน โดยเมืองอังวะนี้เคยเป็นเมืองหลวงของพม่ามาหลายสมัยมาก ก่อนจะจะถูกทิ้งร้างไปจากเหตุแผ่นดินไหว

เมืองอังวะนั้นตั้งอยู่ตรงระหว่างแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำตู มีการขุดคลองล้อมด้านหลัง ทำให้ตัวเมืองมีลักษณะเหมือนเป็นเกาะอยู่กลางน้ำ การจะเข้าไปในเมืองนั้นเราต้องนั่งเรือข้ามไป

จุดขายของเมืองอังวะอยู่ที่การนั่งรถม้าเที่ยวรอบเมือง แต่ด้วยเวลาที่เรามีไม่มากเพราะต้องรีบไปอูเบ็งก่อนอาทิตย์ตก ทำให้เรามีเวลาอยู่แค่ราวๆ 45นาทีเท่านั้นจึงทำให้ไม่สามารถนั่งรถม้าชมทั่วทั้งเมืองอังวะได้ โชคดีกว่าเจอฝรั่งที่พักอยู่โรงแรมเดียวกันเลยช่วยกันหารค่ารถม้า รู้สึกคุ้มขึ้นมาได้อีกหน่อย

รถม้านี้จะเป็นราคาเหมาจ่าย คือต่อให้เราไม่ได้นั่งเต็มเวลาแต่เขาก็จะไม่ลดให้ และเราต้องจ่ายเงินให้คนเก็บเงินตั้งแต่ก่อนออกรถ ดังนั้นใครคิดจะไปต่อราคาทีหลังก็หมดสิทธิ์

ที่ที่ได้นั่งไปดูที่แรกคือวัดบากะยาซึ่งเป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ที่นี่จะเสียค่าเข้า 10,000 จ๊าด จ่ายแล้วเราจะได้ตั๋วแบบนี้มา ตั๋วใบนี้จะมีอายุ 5 วัน สามารถใช้เข้าชมโบราณสถานสำคัญต่างๆ ในแถบมัณฑะเลย์ได้ (ถ้าใครไปพระราชวังมัณฑะเลย์หรือโบราณสถานอื่นๆ แล้วได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้มาแล้ว ก็เอาตั๋วเดิมมาเข้าที่นี่ได้ต่อ)

ตั๋วนี้จำเป็นสำหรับเข้าชมในหลายๆ สถานที่ แต่จะมีแค่บางที่ที่มีการสแตมป์ตั๋ว (แปลว่าเข้าได้แค่ครั้งเดียว) ที่ต้องสแตมป์แน่ๆ คือพระราชวังมัณฑะเลย์กับในอังวะ (วัดบากะยากับพระราชวังอังวะ ปั๊มตราเดียว)

สถานที่ที่จำเป็นต้องใช้ตั๋วใบนี้ก็เช่น

  • พระราชวังมัณฑะเลย์
  • วัดชเวนันดอว์
  • เจดีย์ซานดามุนี
  • เจดีย์กุโสดอว์
  • วัดบากะยา
  • พระราชวังอังวะ
  • พิพิธภัณฑ์มัณฑะเลย์

พอออกจากวัดมาเราก็นั่งรถม้าไปดูเจดีย์เก่ารายทางไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปจบที่หอคอยเก่า และวนกลับออกมาที่ท่าเรือ

จากนั้นเราก็ออกจากอังวะ มุ่งหน้าไปยังสะพานไม้อูเอ็งที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของเมืองอมรปุระ สะพานไม้นี้ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก พาดข้ามทะเลสาบตองตะมานด้วยความยาวทั้งสิ้น 1.2 กิโลเมตร และเป็นหนึ่งในจุดชมอาทิตย์ตกยอดนิยมในพม่า (แน่นอนว่าคนเป็นล้าน)

ได้ภาพก่อนอาทิตย์ตกมานิดหน่อย

จากนั้นก็ให้ภาพมันเล่าเรื่อง

หลังอาทิตย์ตกก็ให้แท็กซี่พากลับโรงแรม และปิดท้ายมื้อเย็นด้วยเบอร์เกอร์เนื้อจากร้านใกล้ๆ โรงแรม ผมพบว่าร้านที่นี่ไม่ได้ให้ซอสมะเขือเทศกันเป็นหลักแบบบ้านเรา แต่จะมีซอสพริกให้แทน (แปลกใจปนดีใจ เพราะผมไม่ชอบซอสมะเขือเทศ) แม้แต่ในตัวเบอร์เกอร์ก็จะราดซอสพริกมาให้แทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศแบบบ้านเรา

เบอร์เกอร์เนื้อที่ปราศจากซอสมะเขือเทศ

และเราก็จบวันที่สองของเราลงในเท่านี้

ต่อในตอนที่ 2

ความตั้งใจจริง คือจะเขียนบล็อกนี่ยาวเฟื้อยทีเดียวจบ แต่เขียนไปเขียนมาแล้วมันยาวไปเป็นกิโลแบบนี้ (ในภาพนี่คือแค่ประมาณครึ่งเดียวนะ)

ดังนั้น ขอยกไปต่อตอนที่สองแล้วกันนะครับ

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/02/6-days-trip-mandalay-bagan-part-1/feed/ 1 3286
รีวิว MagicGrips อุปกรณ์เสริมที่ทำให้ Magic Mouse จับง่ายขึ้น /2019/01/magicgrips-magic-mouse-grip/ /2019/01/magicgrips-magic-mouse-grip/#respond Tue, 22 Jan 2019 20:47:48 +0000 /?p=3268 ใครที่ใช้แมคคงจะคุ้นเคยกับเมาส์คู่บุญอย่าง Magic Mouse กันเป็นอย่างดี เพราะว่าการจะหาเมาส์เนียนๆ มาใช้บนแมคนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ทำให้สุดท้ายแล้วหลายคนก็ยอมกัดฟันซื้อเมาส์ Magic Mouse ของแอปเปิลเองเพื่อเป็นการตัดปัญหาทิ้งไป แม้ว่า Magic Mouse จะใช้งานกับ macOS ได้เนียนแค่ไหน แต่ปัญหาใหญ่ของมันคือการออกแบบที่เรียกได้ว่าทรมานมือคนใช้มากๆ หลายคนถึงกับตะคริวกินเมื่อต้องใช้ไปนานๆ เลยทีเดียว แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปเจอกับอุปกรณ์เสริมตัวหนึ่ง (ซึ่งจริงๆ มันก็ออกมานานแล้ว) นั่นคือ MagicGrips อุปกรณ์เสริมสำหรับ Magic Mouse ที่ช่วยให้เราสามารถจับมันได้ถนัดขึ้น! MagicGrips เป็นผลงานของ Elevation Lab ว่ากันจริงๆ MagicGrips มันคือก้อนซิลิโคนธรรมดาๆ ที่ใช้สำหรับแปะด้านข้างของ Magic Mouse เพื่อให้จับถนัดขึ้นนั่นแหละครับ เจ้า MagicGrips นี้มีราคาขายบนหน้าเว็บอยู่ที่ $12.95 แต่ค่าส่งมาไทยก็อยู่ที่ $12.59 เกือบจะซื้อได้อีกอัน ดังนั้นทางเลือกจึงไปตกอยู่ที่ Amazon และ eBay ซึ่งจากที่ค้นดุพบว่ามีร้านในออสเตรเลียขายอยู่ที่ AU$19.95 (ประมาณ $14.30) และคิดค่าส่งเพียงแค่ …

The post รีวิว MagicGrips อุปกรณ์เสริมที่ทำให้ Magic Mouse จับง่ายขึ้น appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ใครที่ใช้แมคคงจะคุ้นเคยกับเมาส์คู่บุญอย่าง Magic Mouse กันเป็นอย่างดี เพราะว่าการจะหาเมาส์เนียนๆ มาใช้บนแมคนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ทำให้สุดท้ายแล้วหลายคนก็ยอมกัดฟันซื้อเมาส์ Magic Mouse ของแอปเปิลเองเพื่อเป็นการตัดปัญหาทิ้งไป

แม้ว่า Magic Mouse จะใช้งานกับ macOS ได้เนียนแค่ไหน แต่ปัญหาใหญ่ของมันคือการออกแบบที่เรียกได้ว่าทรมานมือคนใช้มากๆ หลายคนถึงกับตะคริวกินเมื่อต้องใช้ไปนานๆ เลยทีเดียว

แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปเจอกับอุปกรณ์เสริมตัวหนึ่ง (ซึ่งจริงๆ มันก็ออกมานานแล้ว) นั่นคือ MagicGrips อุปกรณ์เสริมสำหรับ Magic Mouse ที่ช่วยให้เราสามารถจับมันได้ถนัดขึ้น!

MagicGrips เป็นผลงานของ Elevation Lab ว่ากันจริงๆ MagicGrips มันคือก้อนซิลิโคนธรรมดาๆ ที่ใช้สำหรับแปะด้านข้างของ Magic Mouse เพื่อให้จับถนัดขึ้นนั่นแหละครับ

เจ้า MagicGrips นี้มีราคาขายบนหน้าเว็บอยู่ที่ $12.95 แต่ค่าส่งมาไทยก็อยู่ที่ $12.59 เกือบจะซื้อได้อีกอัน ดังนั้นทางเลือกจึงไปตกอยู่ที่ Amazon และ eBay ซึ่งจากที่ค้นดุพบว่ามีร้านในออสเตรเลียขายอยู่ที่ AU$19.95 (ประมาณ $14.30) และคิดค่าส่งเพียงแค่ AU$5.59 เท่านั้น (ประมาณ $4) เลยตัดสินใจสั่งจากร้านดังกล่าว

สนใจไปสั่งซื้อกันได้ในนี้: https://ebay.to/2RHyxa3

ผมกดสั่งมาสองอัน สำหรับใช้ที่บ้านอันนึง และใช้ที่ออฟฟิสอีกอันนึง รวมเป็นเงิน 907.54 บาท และค่าส่งอีก 135.34 บาท ใช้เวลาส่งประมาณหนึ่งสัปดาห์

กล่องมันก็ไม่ได้ใหญ่มากเท่าไหร่ แค่ประมาณคิทแคทสองแผงซ้อนกันเท่านั้น ภายในกล่องจะมีแค่คู่มือติดตั้ง, แผ่นแอลกอฮอลเช็ดทำความสะอาด, และซิลิโคน MagicGrips ซึ่งเจ้าซิลิโคนนี้เขาจะให้มา 3 ชิ้น เป็นขนาดมาตรฐาน 2 ชิ้น และมีชิ้นใหญ่ให้อีกชิ้นสำหรับคนที่มือใหญ่

ที่ตัวซิลิโคนนั้นจะแปะเทปสองหน้าของ 3M มาให้อยู่แล้ว วิธีติดตั้งก็ง่ายๆ เลยคือแกะเทปสองหน้าออก แล้วก็ประกบเข้าไปข้างๆ ตัว Magic Mouse ซึ่งตัวซิลิโคนจะเข้ากับมุมโค้งและมีระดับเท่ากับยางรองใต้เมาส์พอดี

ใครที่เลือกใช้ขนาดมาตรฐานก็สามารถติดซิลิโคนขนาดมาตรฐานสองชิ้นเข้าไปที่ตัว Magic Mouse ได้เลย (มันเหมือนกันเป๊ะ) แต่ถ้าใช้จะใช้ชิ้นใหญ่ ตามคู่มือจะแนะนำให้ติดชิ้นใหญ่ไว้ฝั่งที่เราวางนิ้วโป้ง

อ้อ MagicGrips สามารถใช้ได้ทั้งกับ Magic Mouse 1 และ Magic Mouse 2 ครับ

หลังจากที่ลองใช้มาได้หนึ่งวันเต็มๆ ก็รู้สึกว่า เออ มันช่วยให้เราจับเมาส์ถนัดขึ้นจริงๆ นะ ถึงแม้มันจะไม่สบายมือเท่ากับเมาส์ ergonomic แต่ก็ช่วยให้อาการปวดนิ้วหรือนิ้วล็อคเมื่อจับเมาส์ไปนานๆ มันลดลงได้ แถมสามารถจับเมาส์ได้กระชับมือมากขึ้นด้วย

หากใครที่ใช้ Magic Mouse คู่กับเมาส์อื่นด้วย เช่นมีคอมอีกเครื่องไว้ใช้เล่นเกม จะเจอปัญหาเรื่องความจับไม่ถนัดของ Magic Mouse มากกว่าปกติ เจ้า MagicGrips นี้จะยิ่งมีประโยชน์ชัดขึ้นครับ

ใครสนใจก็ไปกดกันมาได้เลย: https://ebay.to/2RHyxa3

The post รีวิว MagicGrips อุปกรณ์เสริมที่ทำให้ Magic Mouse จับง่ายขึ้น appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/01/magicgrips-magic-mouse-grip/feed/ 0 3268