Travel Archives - JIRAYU.IN.TH โปรแกรมเมอร์, ช่างภาพ, และคนเลี้ยงแมว Thu, 23 Jan 2020 08:45:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.6.1 43932498 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 /2019/06/6-days-trip-mandalay-bagan-part-3/ /2019/06/6-days-trip-mandalay-bagan-part-3/#respond Tue, 18 Jun 2019 17:42:50 +0000 /?p=3411 ต่อกันในตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายในทริป 6 วันครั้งนี้ 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 วันที่ห้า – กลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า จบจากพุกามก็ถึงเวลากลับไปยังมัณฑะเลย์อีกครั้งเพื่อรอกลับไทย โดยผมได้ให้ทางโรงแรมจัดการเรื่องตั๋วรถบัสกลับมัณฑะเลย์ให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงกำหนดเวลา ก็จะมีรถสองแถวใหญ่ขับมารับถึงที่โรงแรมเพื่อต่อไปสถานีขนส่งอีกทีหนึ่ง ในขากลับนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก รถวิ่งกลับเส้นทางเดิมที่เรามา และจอดพักที่ร้านเดิม เพิ่มเติมคือรถเสีย เมื่อกลับมาถึงมัณฑะเลย์ รถจะไปจอดที่ท่ารถ พอลงจากรถแล้วจะมีรถสองแถวใหญ่ (เป็นรถบรรทุกหกล้อ) ที่จะพาเราไปส่งตามโรงแรม โดยรถจะไปจอดถึงที่หน้าโรงแล้วเลย สำหรับคืนสุดท้ายที่นี่ เราพักที่ Hotel Mahar ซึ่งอยู่ห่างจาก Hotel Iceland ที่เราพักในคืนแรกประมาณหนึ่งกิโล ดังนั้นพวกร้านสะดวกซื้อ ร้านของกินต่างๆ (แน่นอนว่าผมกลับไปกินเบอร์เกอร์เนื้อปราศจากซอสมะเขือเทศที่ร้าน Mr.Burger เหมือนเดิม) ผมมาถึงโรงแรมตอนประมาณสามโมงครึ่ง เลยคิดว่าเอาวะ วันนี้ไปเดินห้างพม่ากัน พูดถึงการเดินทางในมัณฑะเลย์นิดนึง คือจริงๆ …

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ต่อกันในตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายในทริป 6 วันครั้งนี้

วันที่ห้า – กลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า

จบจากพุกามก็ถึงเวลากลับไปยังมัณฑะเลย์อีกครั้งเพื่อรอกลับไทย โดยผมได้ให้ทางโรงแรมจัดการเรื่องตั๋วรถบัสกลับมัณฑะเลย์ให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงกำหนดเวลา ก็จะมีรถสองแถวใหญ่ขับมารับถึงที่โรงแรมเพื่อต่อไปสถานีขนส่งอีกทีหนึ่ง

ในขากลับนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก รถวิ่งกลับเส้นทางเดิมที่เรามา และจอดพักที่ร้านเดิม เพิ่มเติมคือรถเสีย

เมื่อกลับมาถึงมัณฑะเลย์ รถจะไปจอดที่ท่ารถ พอลงจากรถแล้วจะมีรถสองแถวใหญ่ (เป็นรถบรรทุกหกล้อ) ที่จะพาเราไปส่งตามโรงแรม โดยรถจะไปจอดถึงที่หน้าโรงแล้วเลย

สำหรับคืนสุดท้ายที่นี่ เราพักที่ Hotel Mahar ซึ่งอยู่ห่างจาก Hotel Iceland ที่เราพักในคืนแรกประมาณหนึ่งกิโล ดังนั้นพวกร้านสะดวกซื้อ ร้านของกินต่างๆ (แน่นอนว่าผมกลับไปกินเบอร์เกอร์เนื้อปราศจากซอสมะเขือเทศที่ร้าน Mr.Burger เหมือนเดิม)

ผมมาถึงโรงแรมตอนประมาณสามโมงครึ่ง เลยคิดว่าเอาวะ วันนี้ไปเดินห้างพม่ากัน

พูดถึงการเดินทางในมัณฑะเลย์นิดนึง คือจริงๆ พม่ามีพวกรถเมล์รถสองแถวอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่พูดตรงๆ ว่าผมขึ้นไปมีหลงแน่ๆ เลยอาศัยการเดินทางยอดนิยมของพม่าอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือรถตุ๊กตุ๊กที่สามารถเรียกผ่านแอพได้

แอพเรียกรถที่นี่ที่เห็นใช้กันเยอะๆ ก็จะมี Get (เป็น Get ของพม่าเอง คนละเจ้ากับ Get ในไทย) และ Grab (ใช้แอพเดิม ไอดีเดิม บัตรเดิมกับที่ใช้ในไทยได้เลย) ค่าบริการกับส่วนลดต่างๆ ของฝั่ง Get จะดีกว่านิดหน่อย แต่ข้อเสียมหาศาลอย่างหนึ่งคือแอพ Get จะให้คนขับโทรคุยกับลูกค้า ซึ่งคนพม่าพูดภาษาอังกฤษกันก็ไม่ค่อยจะได้ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ จนต้องให้น้องพนักงานที่โรงแรมคุยให้ ถึงสื่อสารกันรู้เรื่องว่าจะไปไหนอะไรยังไง และตัวแอพก็ไม่ค่อยเสถียรด้วย เปิดมาดับไปหลายรอบมาก

ในขณะที่ Grab นั้นโดยรวมถือว่าดีกว่าเยอะ อย่างที่เราทราบกันว่าแอพ Grab คุยผ่านแอพได้ และมีฟีเจอร์แปลภาษาให้ในตัว เลยพอจะสื่อสารกันได้บ้าง แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่แพงกว่าอยู่นิดหน่อย

ส่วนตัวรถตุ๊กตุ๊กนั้นจะคล้ายกับของไทย (ในแอพ Grab เรียกรถสามล้อนี้ว่า Thone Bane) แต่มีขนาดเล็กกว่า และนั่งสบายกว่ามาก เพราะที่นั่งยกสูงขึ้นมาพอดี ไม่ได้เป็นที่นั่งตื้นๆ แบบตุ๊กตุ๊กไทย

ห้างที่จะไปวันนี้คือห้าง Yadanarpon Super Center (Sky Walk) และ Ocean Supercenter ซึ่งจริงๆ ตรงนี้จะเป็นห้างสองสามห้างอยู่ติดกัน ในห้าง Yadanarpon ลักษณะจะเก่าๆ ขลังๆ หน่อยคล้ายกับห้าง Imperial ลาดพร้าว ตัวห้างมีอยู่หกชั้น แต่เปิดจริงๆ ถึงแค่ชั้นสาม

ภายในห้างจะมีพวกร้านแบรนด์เนมอยู่ด้วยนะ ร้านเครื่องสำอางค์แบบที่เห็นในไทยก็พอมีบ้าง (ผมจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ลืมถ่ายรูปมาอีกต่างหาก) แต่ร้านส่วนใหญ่จะเป็นร้านของคนพม่าเอง ไม่ได้เป็นแบรนด์เฉพาะเจาะจง

อีกห้างที่อยู่ข้างๆ กันคือห้าง Ocean Supercenter ที่ห้างนี้ข้างบนจะเป็น Plaza เหมือนกับ Sky Walk แต่ชั้นใต้ดินจะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตบรรยากาศคล้ายๆ Tops Supermarket หรือ Tesco Lotus สาขาเล็กๆ มีร้านหนังสือพม่าอยู่ด้วย (ลืมถ่ายรูปอีกแล้ว)

สินค้าในนี้ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากไทยและจีน ลักษณะและสินค้าโดยรวมเหมือนกับเดินซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไทยเลย อย่างเช่นบะหมี่นิสชินกระป๋องนี้ ลิขสิทธิ์ญี่ปุ่น นำเข้าโดยนิสชินสิงคโปร์ ผลิตในประเทศไทย ขายที่ประเทศพม่า

พวกน้ำอัดลมที่นี่มี Coca Cola นะ โค้กสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ส่วนน้ำสีที่ปกติขายในชื่อ Fanta ในพม่าจะใช้ชื่อ Max+ แทน

รูปจากพุกาม

คุ๊กกี้กล่องแดงก็ตามมาหลอกหลอนถึงที่พม่า ไม่รู้ว่าที่นี่เขานิยมมอบคุ๊กกี้กล่องแดงให้กันในวันปีใหม่กันเหมือนในบ้านเราหรือเปล่า

อย่างหนึ่งที่จัดได้ว่าดีในนี้คือพวกผักผลไม้ คือมันก็ไม่ได้ดูดีพรีเมี่ยมแบบที่วางขายในสยามพารากอน แต่ถือได้ว่าสด และใหญ่โตมโหฬารมาก แบบนี้

อ้อ ที่พม่าคนจะนิยมกินโยเกิร์ตกันมากๆ ร้านค้าโชห่วยต่างๆ มักจะมีโยเกิร์ตออร์แกนิกขายด้วย

และในห้างนี้ก็มีขายเช่นกัน ที่เจอคือจะใส่มาในโอ่งน่ารักๆ แบบในรูป ภายในโอ่งก็จะมีตัวโยเกิร์ตเนื้อหยาบๆ เหลวๆ หน่อยตามประสาโยเกิร์ตออร์แกนิค และมีน้ำดำๆ หวานๆ มาให้ด้วย เดาว่าน่าจะเป็นน้ำตาลเคี่ยว เอามาใส่กินกับโยเกิร์ต

ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ กลับมาแล้ว (รวมถึงโยเกิร์ตโอ่งด้วย) ก็เดินออกมาดูรอบๆ ห้าง พบว่ามีร้านที่เราคุ้นเคยอย่าง KFC และ The Pizza Company ด้วย!

ทั้ง KFC และ The Pizza Company จะเป็นร้าน standalone ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้าง (แต่คนละทิศกัน)

ปกติเวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศ ผมมักจะชอบเดินหาร้านที่คุ้นเคย ที่เห็นว่ามีในไทย หรือเมนูไทยๆ แล้วลองเข้าไปกินเทียบกับที่เคยกินในไทยเอาสนุกๆ

ดังนั้นเราไม่พลาดที่จะเข้ามันทั้งสองร้าน! วันนี้เราจะเข้า KFC และวันพรุ่งนี้เราจะเข้า The Pizza Company

โดยส่วนตัวผมชอบการแต่งร้านของ KFC ที่นี่นะ แต่คุณภาพไก่ทอดยังสู้ไทยไม่ได้ ผมสั่งเบอร์เกอร์ไก่ซอสเผ็ดจีน (มันเขียนว่า Chinese spicy sauce เดาว่าน่าจะซอสหม่าล่า) ตัวเนื้อไก่ไม่ค่อยมีเนื้อเท่าไหร่ กัดไปเจอแต่แป้ง และไก่จะอมน้ำมันกว่า เลี่ยนกว่าในไทย

ถ้าไม่ถูกจริตกับอาหารพม่า และไม่อยากกินมาม่า ก็พอจะมากิน KFC ประทังชีวิตไปได้

แต่เอาจริงๆ พอกลับถึงที่พัก ก็ออกมากินเบอร์เกอร์เนื้อปราศจากซอสมะเขือเทศอยู่ดี

วันที่หก – เก็บตกพระราชวังมัณฑะเลย์ บินกลับไทย

จริงๆ ตามแผนเดิมคือจะเที่ยวพระราชวังมัณฑะเลย์วันจันทร์ แต่เนื่องจากหลงทิศทางเลยไม่ได้เที่ยว และเอามาเก็บตกในเช้าวันเสาร์แทน (เครื่องออกตั้งทุ่มนึง)

คือเรื่องของเรื่องนั้น เขตพระราชวังมัณฑะเลย์ที่เห็นเป็นกำแพงล้อมใหญ่ๆ มีคูเมืองล้อมอีกชั้นนั้น ตัวพระราชวังจริงๆ เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ ตรงกลางเท่านั้นเอง และพื้นที่รอบๆ ภายในกำแพงจะเป็นเหมือนค่ายทหาร และห้ามคนต่างชาติเข้า โดยถ้านักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปชมพระราชวังมัณฑะเลย์จะต้องเข้าที่ประตูตะวันออกเท่านั้น แต่ที่พักของผมดันอยู่ประตูตะวันตก ตอนผมเข้าไปทางประตูตะวันตกเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไปประตูทิศใต้นะ พอไปถึงประตูทิศใต้เจ้าหน้าที่ถึงบอกว่าให้เข้าประตูตะวันออก วันแรกเลยช่างแม่งแล้วเก็บไว้มาวันสุดท้ายแทน

ถ้าใครจำจากตอนแรกได้ ตอนที่เราไปเมืองอังวะ เราได้ซื้อตั๋ว Mandalay Archaeological Zone Fee Card ในราคา 10,000 จ๊าดเอาไว้ ตั๋วมีอายุ 7 วัน ดังนั้นเราสามารถเอามาเพื่อเข้าชมพระราชวังมัณฑะเลย์ต่อได้ทันที (ด่านตรวจตั๋วอยู่ที่หน้าพระราชวัง ไม่ใช่ประตูทางเข้า)

พอมาถึงทางเข้าแล้ว จะเป็นทางเดินเข้าไปต่ออีกประมาณ 900 เมตร เดินเอื่อยๆ หน่อยก็ประมาณ 15 นาที หรือถ้าใครขี้เกียจเดิน แถวนั้นก็จะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างและสองแถวเล็กให้บริการด้วยเช่นกัน

เดินเข้ามาเรื่อยๆ จะเห็นยอดพระราชวังอยู่ลิบๆ จุดตรวจตั๋วก็จะอยู่ตรงทางเข้าข้างหน้าเลย (มุมขวาในภาพ)

ตัวพระราชวังมัณฑะเลย์สร้างขึ้นมาช่วงสมัย ร.4 โดยพระเจ้ามินดง คือสมัยนั้นพม่ากำลังรบอยู่กับอังกฤษ และถือเคล็ดย้ายเมืองหลวงมาจากอมราปุระมาอยู่ที่มัณฑะเลย์แทน ตัวพระราชวังแต่เดิมนั้นสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระราชวังมัณฑะเลย์โดนฝ่ายอังกฤษทิ้งระเบิดเพราะคิดว่าเป็นแหล่งซ๋องสุมกำลังของฝ่ายญี่ปุ่นจนพระราชวังเดิมพังไปหมด

ต่อมารัฐบาลพม่าเลยทำการบูรณะขึ้นใหม่ตามแบบเดิม แต่ก็ไม่ได้เป็นไม้สักทั้งหมดเหมือนเดิม หลายๆ ส่วนถูกแทนที่ด้วยวัสดุสมัยใหม่ไปแล้ว

ภายในพระราชวังส่วนมากแล้วจะเป็นอาคารว่างๆ ไม่ได้มีการจัดแสดงอะไรเอาไว้เท่าไหร่นัก จะมีรูปจำลองของกษัตริย์พม่าอยู่บ้างในบางส่วน เช่นในท้องพระโรง หรือที่สิงหราชบัลลังก์

ผมเดินเอื่อยๆ อยู่ในบริเวณพระราชวังอยู่ราวชั่วโมงกว่าๆ ก็ทั่วแล้ว เลยเดินออกมาเพื่อไปหาอะไรกิน แน่นอนว่าเรากดเรียก Grab ไป Skywalk อีกแล้ว (ที่นี่ไม่เห็นวินท้องถิ่นจะมาวิ่งไล่กระทืบ Grab เหมือนบ้านเรานะ) และรอบนี้เราก็เข้าร้านไท๊ยไทยอย่าง The Pizza Company

การตกแต่งร้านก็จะคล้ายๆ ที่ไทย และมีบริการ Delivery ด้วย

รอบนี้ลองสั่งซี่โครงหมูบาบีคิวครึ่งชิ้นกับเฟรนช์ฟรายส์ กับพิซซ่าถาดเล็กมาทาน กับโค้กรีฟิลอีกแก้วนึง สำหรับราคาแล้วคิดว่าน่าจะพอๆ กับที่ไทย ซี่โครงครึ่งชิ้นกับเฟรนช์ฟรายส์ราคา 8000 จ๊าด หรือประมาณ 160 บาท ส่วนที่ไทยซี่โครงเต็มชิ้น อยู่ที่ 279 บาท

รสชาติรู้สึกต่างกับที่ไทยอยู่พอตัว เลี่ยนๆ ปะแล่มๆ กว่าที่ขายในไทยนิดหน่อย

ที่พม่านี่เวลาเราเข้าร้านอาหารพวกนี้ เวลาคิดเงินเขาจะติดสติกเกอร์ Commercial Tax มาให้ด้วย (ที่พม่าไม่มี VAT แต่จะมี Commercial Tax ที่คล้ายๆ VAT แต่จะคิดเฉพาะกับการขายสินค้าเท่านั้น ไม่คิดกับการขายบริการ)

ทั้งนี้ Commercial Tax นี้เอาไป Refund ไม่ได้ แล้วเค้าติดมาทำไมเนี่ย

สัมผัสชีวิตการการอาหารมื้อละเกือบสองหมื่น

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จก็กลับไปเอาของที่โรงแรม และขึ้นแท็กซี่ไปที่สนามบิน (แน่นอนว่าให้โรงแรมติดต่อให้เช่นเดิม) เพื่อรอกลับไทย

ไฟลท์กลับไทยนั้นออกประมาณทุ่มครึ่ง นี่ก็เล่นไปซะตั้งแต่บ่ายแก่ๆ กะว่าจะไปเช็คอินที่ตู้อัตโนมัติแล้วก็เข้าไปนั่งเล่นในเลาจ์บางกอกแอร์เวย์สวยๆ แต่แล้วก็พบว่าที่นี่ไม่มีตู้เช็คอินอัตโนมัติ 😰

สุดท้ายแล้วต้องนั่งกร่อยอยู่ที่คาเฟ่ในสนามบินจนเคาเตอร์เช็คอินเปิด เพราะในสนามบินนั้นแทบไม่มีอะไรเลย มีแค่ร้านแลกเงิน ร้านของฝากกึ่งๆ ร้านของชำ ร้านอาหาร และคาเฟ่อย่างละร้าน

กลับไทย

ทิ้งท้าย

สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ พม่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่ามาเที่ยวมากๆ โดยส่วนตัวผมค่อนข้างเสียดายที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเกี่ยวกับพม่ามาก่อนเลย

คือตอนแรกที่หยุดยาว ผมกะจะนอนเปื่อยอยู่บ้านด้วยซ้ำ แต่พอหยุดวันแรก (25 มกราคม) อยู่ๆ ก็นึกคึกเปิด Skyscanner เล่น แล้วก็จองตั๋วบินวันที่ 28 เลย ซึ่งวันที่ 28 นั้นก็คือวันที่พาสปอร์ตของผมเหลือ 6 เดือนเป๊ะพอดีด้วย (คือถ้าบินวันที่ 29 ผมจะออกนอกประเทศไม่ได้แล้ว 555)

โดยส่วนตัวคิดว่าอาจจะต้องหาโอกาสกลับไปซ้ำอีกสักรอบ และคราวนี้อาจจะเปลี่ยนจากนั่งแท็กซี่เป็นเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับไปเอง (กูเกิลแมพใช้ได้!) และจะได้มีเวลาเต็มที่กับมันอีกสักหน่อย

ไว้เจอกันอีกทีนะ พม่า

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/06/6-days-trip-mandalay-bagan-part-3/feed/ 0 3411
6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 /2019/03/6-days-trip-mandalay-bagan-part-2/ /2019/03/6-days-trip-mandalay-bagan-part-2/#respond Wed, 20 Mar 2019 21:24:44 +0000 /?p=3362 จริงๆ ตอนแรกกะจะเขียนยาวทีเดียวจบ แต่พอมากดพรีวิวแล้วเห็นว่าบล็อกยาวเป็นกิโลเลย เลยตัดสินใจว่าเราจะหั่นบล็อกเที่ยวพม่านี่ออกเป็น 2 หรือ 3 ตอนก็แล้วกัน 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 3 วันที่สาม – ไปพุกาม เช้าวันถัดมาก็จัดการธุระทุกอย่างให้เรียบร้อยและเช็คเอาท์โรงแรม จากนั้นก็นั่งรออยู่ที่โรงแรมนั่นแหละ รถบัสจะวนมารับให้เอง (จะมารับก่อนเวลารถออกประมาณครึ่งชั่วโมง) จากนั้นก็คือมุ่งหน้าไปยังพุกาม ทางระหว่างมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง คือเป็นถนนเส้นใหญ่ราดยางตลอดสาย (จริงๆ บางช่วงก็เป็นซีเมนต์เปลือยๆ) มีการทำถนนใหม่อยู่บางช่วงด้วย ข้อดีอย่างหนึ่งคือทางจากมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นเป็นที่ราบทั้งหมด ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วย ดังนั้นโดยรวมแล้วนั่งค่อนข้างสบาย และตลอดสองข้างทางนั้นจะเป็นพวกไร่นาเกือบทั้งหมด ระหว่างทางรถจะมีจุดจอดพักอยู่จุดหนึ่ง ตรงนี้เราจะสามารถเข้าห้องน้ำ กินข้าว หรือซื้อของกินเล่นได้ ซึ่งก็จะมีพวกผลไม้ นกย่าง (น่าจะใช่) มันฝรั่งทอด และเต้าหู้ทอดที่หน้าตาเหมือนซาลาเปาทอดน้ำ เต้าหู้ทอดนี่เป็นอะไรที่ฝังใจมากๆ เพราะตอนถามว่ามีไส้มั้ย (What’s the filling?) แม่ค้าตอบมาว่า “มีท” …

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
จริงๆ ตอนแรกกะจะเขียนยาวทีเดียวจบ แต่พอมากดพรีวิวแล้วเห็นว่าบล็อกยาวเป็นกิโลเลย เลยตัดสินใจว่าเราจะหั่นบล็อกเที่ยวพม่านี่ออกเป็น 2 หรือ 3 ตอนก็แล้วกัน

วันที่สาม – ไปพุกาม

เช้าวันถัดมาก็จัดการธุระทุกอย่างให้เรียบร้อยและเช็คเอาท์โรงแรม จากนั้นก็นั่งรออยู่ที่โรงแรมนั่นแหละ รถบัสจะวนมารับให้เอง (จะมารับก่อนเวลารถออกประมาณครึ่งชั่วโมง) จากนั้นก็คือมุ่งหน้าไปยังพุกาม

ทางระหว่างมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง คือเป็นถนนเส้นใหญ่ราดยางตลอดสาย (จริงๆ บางช่วงก็เป็นซีเมนต์เปลือยๆ) มีการทำถนนใหม่อยู่บางช่วงด้วย ข้อดีอย่างหนึ่งคือทางจากมัณฑะเลย์ไปพุกามนั้นเป็นที่ราบทั้งหมด ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วย ดังนั้นโดยรวมแล้วนั่งค่อนข้างสบาย และตลอดสองข้างทางนั้นจะเป็นพวกไร่นาเกือบทั้งหมด

ระหว่างทางรถจะมีจุดจอดพักอยู่จุดหนึ่ง ตรงนี้เราจะสามารถเข้าห้องน้ำ กินข้าว หรือซื้อของกินเล่นได้ ซึ่งก็จะมีพวกผลไม้ นกย่าง (น่าจะใช่) มันฝรั่งทอด และเต้าหู้ทอดที่หน้าตาเหมือนซาลาเปาทอดน้ำ

มันไม่ใช่ซาลาเปาทอดน้ำ มันคือเต้าหู้ทอดทั้งก้อน รสชาติมันๆ เลี่ยนๆ ไม่มีไส้ใดๆ

เต้าหู้ทอดนี่เป็นอะไรที่ฝังใจมากๆ เพราะตอนถามว่ามีไส้มั้ย (What’s the filling?) แม่ค้าตอบมาว่า “มีท” ในใจก็กรุ้มกริ่มว่าได้กินเนื้อแล้วโว้ยยยย 😂

ใครที่เคยอ่านรีวิวทริปมัณฑะเลย์-พุกามน่าจะเคยได้ยินว่าระหว่างทางมันมีสะพานแห่งหนึ่งที่เป็นสะพานเลนเดียว แล้วใช้ร่วมกันทั้งรถยนต์และรถไฟ อยากบอกว่าตอนนี้เขากำลังสร้างสะพานใหม่คู่กันอยู่ ในอนาคตรถคงวิ่งสวนกันได้ และทางรถไฟก็แยกต่างหากออกไป

สะพานใหม่ที่สร้างอยู่คู่กัน (ภาพถ่ายตอนขากลับ)

รถจากมัณฑะเลย์จะมาจอดถึงแค่ท่ารถซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกมาสักหน่อย (ต่างกับของมัณฑะเลย์ที่อยู่ในตัวเมืองเลย) ดังนั้นเมื่อมาถึงแล้วเราต้องนั่งรถต่อเข้าไป คือตอนที่หาอ่านรีวิวจะมีบอกว่ามีรถฟรีไปส่งที่เมือง แต่เท่าที่มองหาดูไม่พบรถฟรีสักคัน เจอแต่แท็กซี่ สุดท้ายเลยโบกแท็กซี่ไปโรงแรม

โรงแรมที่มานอนคืนนี้คือโรงแรม Grand Empire Hotel ที่ตั้งอยู่ในบริเวณตลาด Mani Sithu ที่เป็นตลาดเช้าอันขึ้นชื่อของที่นี่ (แต่ไม่ได้ไปเดิน) อ้อ โรงแรมนี้ไม่รับบัตรเครดิต

เช็คอิน

มาถึงที่พุกามก็บ่ายแก่ๆ แล้ว เลยออกไปเดินสำรวจในย่านนี้สักหน่อย และลองกินอาหารพม่าข้างทางดูบ้าง (สภาพโดยรวมของที่นี่ดูสะอาดกว่าที่มัณฑะเลย์) รอบนี้ก็ได้ลองบะหมี่พม่ากับหมูที่คล้ายๆ ขาหมู (น่าจะเป็นหมูจุ่มพม่าที่เขาร่ำรือกัน)

ตัวบะหมี่เปล่าๆ จะออกเลี่ยนๆ หน่อย ต้องใส่เครื่องปรุงที่เขามีมาให้ (น่าจะเป็นซอสเย็นตาโฟ ซีอิ๊ว พริกป่น แล้วก็พริกน้ำส้ม) ส่วนที่อร่อยจริงๆ คือน้ำซุป อร่อยมาก สนนราคา 2,200 จ๊าด ถ้าจำไม่ผิด

อีกอันที่สงสัยว่าจะเป็นหมูจุ่ม มันเป็นพวกเครื่องในหมู เคี่ยวรวมกับหมูสองชั้น (ใช่แล้ว มันคือหมูสองชั้น มีแต่หนังกับมัน ไม่มีเนื้อ) เอามาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟมาในถ้วยเล็กๆ ราดน้ำจิ้มรสชาติเหมือนน้ำจิ้มลูกชิ้นแป้งทอดรสปลาในบ้านเรา กับมีน้ำซุปมาให้อีกหน่อย ราคาอยู่ที่จานละ 1,000 จ๊าด

สิ่งหนึ่งที่ค้นพบคือในย่านนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อที่เป็นแบรนด์ใหญ่เหมือนอย่างในมัณฑะเลย์ (แต่ดันมีร้าน Mi Store ซึ่งไม่รับบัตรเครดิต) แต่จะมีร้านสะดวกซื้อแบบธุรกิจครอบครัวที่เปิดขาย 24 ชั่วโมง

วันที่สี่ – เที่ยวพุกาม ดูอาทิตย์ขึ้น ลุยทะเลเจดีย์

มาถึงพุกามแล้วก็ต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเจดีย์ที่มาพร้อมกับบอลลูนชมวิวนับสิบลูกที่พานักท่องเที่ยวขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากมุมสูง

การจะมาชมวิวที่นี่ถ้าจะจ้างแท็กซี่ก็คือต้องติดต่อล่วงหน้าเอาไว้ (แน่นอนว่าให้โรงแรมหาให้ได้เช่นกัน) และแท็กซี่จะมารับเราตั้งแต่ช่วงเช้ามืดประมาณตีสี่ครึ่งถึงห้า หรือถ้าใครเช่ามอเตอร์ไซค์เอาไว้แล้วพอรู้ทิศรู้ทาง จะขับไปเองก็ได้เช่นกัน แต่ต้องระวังสักหน่อยเพราะในโซนทะเลเจดีย์จะไม่มีไฟทางเลย

จริงๆ จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นยอดฮิตคือเจดีย์ทัตบินยูซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงใหญ่ที่สุดในพุกาม แต่แผ่นดินไหวใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของเจดีย์ ทางการพม่าจึงปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวจากบนเจดีย์ได้อีก เราเลยได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากบนพื้นแทน (เขาทำเป็นเนินดินสูงๆ เอาไว้ให้เราขึ้นมาดูได้ น่าจะสูงแค่ประมาณสองถึงสามเมตรเท่านั้น)

หลังจากชมวิวก็กลับมาทานมื้อเช้าที่โรงแรมก่อนที่แท็กซี่จะมารับออกไปเที่ยวพุกาม ในมื้อเช้านี้ได้ลองของใหม่อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ “ขนมจีนพม่า” (ถ้าค้นมาไม่ผิด น่าจะเรียกว่า โมฮิงกา) น้ำยาของพม่านี่หน้าตาดูเผินๆ จะคล้ายกับน้ำเงี้ยวผสมน้ำยาป่า รสชาติจะกลมกล่อมมาก ไม่หวาน ไม่เลี่ยน มีรสเผ็ดแซมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นอาหารพม่าที่ชอบที่สุดในทริปนี้เลย

อ้อ จริงๆ แล้วขนมจีนที่เรากินกันเนี่ย มันไม่ใช่อาหารจีนนะ แต่เป็นอาหารมอญ (ชนกลุ่มหนึ่งในพม่า) ดังนั้นว่ากันจริงๆ ขนมจีนพม่าน่าจะดั้งเดิมกว่าขนมจีนไทย

พอกินมื้อเช้าเสร็จสักพัก แท็กซี่ก็มารับไปเที่ยวโบราณสถานในพุกามกันต่อ

สภาพโดยรวมของตัวเมืองพุกามเก่าคือมันจะเป็นทุ่งกว้างๆ แล้วมีเจดีย์อยู่ทั่วไป มีเจดีย์ใหญ่ๆ อย่างเจดีย์ทัตบินยูที่เป็นเหมือนไฮไลท์ แต่น่าเสียดายว่าหลังเกิดแผ่นดินไหว ทำให้ทางการพม่าปิดไม่ให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนของเจดีย์ได้อีก

เจดีย์ชเวสิกอง
วัดอนันดา
เจดีย์ทัตบินยู
วิหารธรรมยาจี
วิหารสุลามณี

เนื่องด้วยมีเวลาไม่ค่อยมาก และไม่ได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวพุกามมาก่อน ประกอบกับคนขับรถพูดไม่รู้เรื่องเลย เลยกลายเป็นชะโงกทัวร์ไปแบบงงๆ รู้ตัวอีกทีก็บ่ายแล้ว เลยแวะกินข้าวเที่ยงก่อนสักครู่หนึ่ง

มื้อเที่ยงของวันนี้เป็นอาหารพม่าแท้ๆ อีกมื้อ ที่สั่งมาจริงๆ คือจะมีแค่แกงหมูอะไรสักอย่าง (ในเมนูบอกเป็น Pork Curry) หน้าตาคล้ายๆ มัสมั่นแต่รสไม่ใช่ และกินไปกินมาพบว่านี่มันมัสมั่นมันหมูชัดๆ ส่วนในถ้วยที่เหลือจะเป็นเหมือนเครื่องเคียง เรียงจากสองอันบน คือผักอะไรสักอย่าง กับคล้ายๆ ปลาทอด (สองอันนี้ไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร) ส่วนแถวล่างจะเป็นพริกแห้งตำ มัสมั่นหมู ถั่วงอก และข้าวโพด

ถ้าย้อนกลับขึ้นไปดูรูปตอนเช้าที่ไปดูอาทิตย์ขึ้น จะเห็นหอคอยสูงๆ แห่งหนึ่งที่หน้าตาดูไม่โบราณเท่าไหร่ ถูกต้องครับ มันเป็นของใหม่ หอคอยแห่งนี้เป็นหอชมวิวตั้งอยู่ในเขตของเอกชนคือ Aureum Palace Hotel & Resort ค่าขึ้น $5 หรือประมาณ 8,000 จ๊าด ข้างบนสามารถเห็นวิวรอบพุกามได้ทั้งหมด

หลังจากตรงนี้ก็เหมือนจะเป็นช่วงเบรค คือเหมือนคนขับก็หมดมุกว่าจะพาไปไหน เลยพาตะลอนชมรายทางไปเรื่อยๆ เพื่อรอปิดวันตรงพระอาทิตย์ตก ซึ่งตรงนี้คนขับพาไปนั่งเรือเล่นที่ย่านพุกามใหม่ด้วย

เจดีย์รายทาง

เรือที่ไปนั่งนี่เหมือนจะเป็นเรือญาติคนขับเอง ตัวคนขับบอกว่าค่านั่งจะถูกกว่าไปนั่งตรงท่าเรือหลักอยู่นิดหน่อย ($15 หรือถ้าจะจ่ายเงินจ๊าดจะเป็น 25,000 จ๊าด แพงกว่านิดหน่อย)

นั่งเรือเที่ยวตรงนี้อาจจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำสักเท่าไหร่นัก เรือวิ่งวนๆ อยู่บริเวณใกล้ๆ และมีจอดให้ขึ้นไปดูไร่หอมแดงริมแม่น้ำด้วย อันนี้โดยส่วนตัวผมว่าวิวจุดนี้ถือว่าสวย และค่อนข้างแปลกตาจากแม่น้ำในไทยอยู่ไม่น้อย แต่เวลาเดินต้องระวังต้นหอมที่เขาปลูกไว้ด้วย

นั่งเรือหางยาวในแม่น้ำอิรวดี
ไร่ต้นหอมริมแม่น้ำอิรวดี
ดินริมแม่น้ำอิรวดีส่วนมากแล้วจะเป็นดินทรายที่ร่วนมากๆ

หลังจากเตร็ดเตร่อยู่พักใหญ่ ตอนเย็นคนขับก็พามาชมอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเราจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเจดีย์เล็กๆ แห่งนี้ โดยจะมีบันไดทางเข้าเล็กๆ อยู่ด้านหลังเจดีย์ (เป็นบันไดในตัวเจดีย์เลย ค่อนข้างมืดและชัน ขาลงเตรียมเปิดไฟฉายได้เลย)

คนเป็นล้าน

จบวันที่สี่ลงพร้อมกับแบตกล้องที่หมดสนิทพอดี (ไม่ได้พกที่ชาร์จไปด้วย) คนขับก็พากลับมายังโรงแรมที่พักของเรา

และมื้อเย็นมื้อสุดท้ายในพุกาม เราฝากท้องไว้กับร้าน CAFE F.R.I.E.N.D.S. (ที่ไม่เกี่ยวกับซีรี่ส์ชื่อเดียวกันนี้แต่อย่างใด) ร้านนี้ตั้งอยู่แถวๆ ตลาด Mani Sithu ตอนแรกก็สองจิตสองใจไม่กล้าเข้า แต่พอเข้าไปแล้วพบว่ามีเมนูอาหารที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ และรสชาติใช้ได้ ไม่เลี่ยนไม่มัน ผิดกับอาหารพม่าที่กินมาตลอดทริป (ไม่แน่ใจเมนู จะเคลมว่าเป็นร้านอาหารไทยก็ไม่กล้า)

และเราก็จบวันที่สี่ของเราเพียงเท่านี้

ต่อในตอนที่ 3

ในสองวันสุดท้ายเราจะกลับไปยังมัณฑะเลย์ และลองเดินห้างในพม่าดูกันครับ

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 2 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/03/6-days-trip-mandalay-bagan-part-2/feed/ 0 3362
6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 /2019/02/6-days-trip-mandalay-bagan-part-1/ /2019/02/6-days-trip-mandalay-bagan-part-1/#comments Sat, 16 Feb 2019 18:25:30 +0000 /?p=3286 ที่ทำงานของผมนั้นจะมีการปรับวันหยุดใหม่ทุกๆ สิ้นเดือนมกราคา ซึ่งวันหยุดจากปี 2018 ของผมเหลืออยู่ 5 วัน เลยจำเป็นต้องใช้ให้หมด สรุปแล้วเลยลางานยาวตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ไปยันวันที่ 1 กุมภาพันธ์ (ใช้วันหยุด 2019 อีกวันหนึ่ง) โดยในตอนแรกก็นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรกับวันหยุดดี คืนวันที่ 25 มกราคม เลยลองกดเว็บ Skyscanner เล่นไปเรื่อยแล้วพบว่า เห้ย ตั๋วไปกลับมัณฑะเลย์รวมๆ แล้วห้าพันเศษๆ เองว่ะ (บางกอกแอร์เวย์ด้วยนะ) เลยตกลงว่า โอเค ไปพม่าดีกว่า ด้วยความที่ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับพม่า และอยากไปเที่ยวแบบสบายๆ เลยจัดแพลนหลวมๆ ประมาณนี้ วันจันทร์บินไปมัณฑะเลย์ เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน วันอังคารเที่ยวมัณฑะเลย์และเมืองรอง (ได้ไปสกาย มิงกุน อังวะ และจบที่สะพานไม้อูเบ็ง) แล้วนอน วันพุธเดินทางไปพุกาม ถึงแล้วก็เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน วันพฤหัสฯ เที่ยวพุกาม แล้วนอน วันศุกร์เดินทางกลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า …

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ที่ทำงานของผมนั้นจะมีการปรับวันหยุดใหม่ทุกๆ สิ้นเดือนมกราคา ซึ่งวันหยุดจากปี 2018 ของผมเหลืออยู่ 5 วัน เลยจำเป็นต้องใช้ให้หมด สรุปแล้วเลยลางานยาวตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ไปยันวันที่ 1 กุมภาพันธ์ (ใช้วันหยุด 2019 อีกวันหนึ่ง) โดยในตอนแรกก็นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรกับวันหยุดดี คืนวันที่ 25 มกราคม เลยลองกดเว็บ Skyscanner เล่นไปเรื่อยแล้วพบว่า เห้ย ตั๋วไปกลับมัณฑะเลย์รวมๆ แล้วห้าพันเศษๆ เองว่ะ (บางกอกแอร์เวย์ด้วยนะ) เลยตกลงว่า โอเค ไปพม่าดีกว่า

ด้วยความที่ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับพม่า และอยากไปเที่ยวแบบสบายๆ เลยจัดแพลนหลวมๆ ประมาณนี้

  1. วันจันทร์บินไปมัณฑะเลย์ เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน
  2. วันอังคารเที่ยวมัณฑะเลย์และเมืองรอง (ได้ไปสกาย มิงกุน อังวะ และจบที่สะพานไม้อูเบ็ง) แล้วนอน
  3. วันพุธเดินทางไปพุกาม ถึงแล้วก็เดินเล่นเปล่าๆ วันนึง แล้วนอน
  4. วันพฤหัสฯ เที่ยวพุกาม แล้วนอน
  5. วันศุกร์เดินทางกลับมัณฑะเลย์ เดินห้างพม่า แล้วนอน
  6. วันเสาร์บินกลับกรุงเทพ

ส่วนที่พักทั้งหมดจองผ่าน Booking.com เป็นโรงแรมห้องเดี่ยวทั้งหมด ตกที่ประมาณคืนละ 300-400 บาทเท่านั้น (ราคาแพงกว่าโฮสเทลที่นอนห้องรวมอยู่ไม่กี่บาท แต่ได้เป็นห้องแยกและได้ห้องน้ำส่วนตัว ถึงมันจะห้องเล็กหน่อยแต่ถือว่าคุ้ม)

วันที่หนึ่ง – ไปมัณฑะเลย์

เที่ยวบินที่ไปคือ PG709 เครื่องออกเวลา 12:15 เป็นครั้งแรกที่ได้นั่ง Shuttle ไปขึ้นเครื่อง

แอบเสียดายเหมือนกันที่ขาไปไม่ได้แวะเลานจ์บางกอกแอร์เวย์เพื่อไปกินข้าวต้มมัดในตำนาน (บินกับบางกอกแอร์เวย์มาสองสามครั้ง ยังไม่เคยได้เข้าเลานจ์ในสุวรรณภูมิเลย)

สำหรับการแลกเงินนั้น ให้แลกเงินไทยเป็นดอลลาร์สหรัฐให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยเอาดอลลาร์สหรัฐมาแลกเป็นเงินจ๊าดในพม่าอีกที จะได้เรตที่ดีกว่าเอาเงินไทยแลกเป็นเงินจ๊าดโดยตรง ทั้งนี้ทางที่ดีผมแนะนำว่าให้พกเงินทั้งเงินจ๊าดและเงินดอลลาร์ไว้ทั้งคู่จะดีที่สุด เพราะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ (โดยเฉพาะแท็กซี่นำเที่ยวเนี่ย) มักจะบอกราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ และในหลายๆ ครั้งถ้ายืนยันจะจ่ายด้วยจ๊าด จะกลายเป็นแพงกว่าเดิม

ผมแลกเงินไทยไป $250 หรือเกือบๆ 8,000 บาท ซึ่ง $250 นี้แลกเงินจ๊าดได้ประมาณ 370,000 กับเศษอีกนิดหน่อย โดยอัตราแลกเปลี่ยน บาท > จ๊าด จะอยู่ประมาณ 48-49 บาท ดังนั้นสามารถตีกลมๆ ได้ว่า 5,000 จ๊าด จะประมาณ 100 บาท

เช่นตอนที่ผมโดนพาไปนั่งเรือที่พุกาม เขาจะคิดราคาที่ $15 ซึ่งจะเท่ากับประมาณ 22,800 จ๊าด แต่ถ้าจะจ่ายเป็นจ๊าดเขาจะคิดที่ 25,000 จ๊าด (ต่างกันประมาณ 50 บาท)

พอมาถึงที่สนามบินมัณฑะเลย์แล้วเราจะต้องต่อรถไปที่ตัวเมืองอีกที เราจะมีตัวเลือกหลักๆ 2 อย่างคือ

  1. รถตู้/รถมินิบัส ค่าตั๋วจะถูกหน่อย (ประมาณ 4000 จ๊าด) แต่จะออกเป็นรอบ ทุกชั่วโมง
  2. แท็กซี่ส่วนตัว ราคา 12,000 จ๊าด จ่ายปุ๊บออกทันที

ตอนแรกที่ผมอ่านรีวิวมาคือถ้านั่งรถตู้หรือรถมินิบัส รถจะขับไปส่งถึงที่พักเลย แต่พอซื้อตั๋วเสร็จแล้วมาถามคนขับ พบว่ารถจะไปจอดถึงแค่สถานีรถไฟมัณฑะเลย์เท่านั้น (จะวนส่งให้ก็ต่อเมื่อโรงแรมอยู่ก่อนถึงสถานีรถไฟ) ซึ่งโรงแรมที่ผมพักจะอยู่ไกลออกไปอีกหน่อย รถจะไม่ไปส่งให้ และต้องต่อรถเอาเอง สุดท้ายด้วยความขี้เกียจเลยยอมทิ้ง 4,000 จ๊าดแล้วเรียกแท็กซี่ไปดีกว่า

พูดถึงเรื่องรถราแล้ว ที่พม่านั้นตามกฎหมายคือจะใช้รถพวงมาลัยซ้าย และขับชิดขวา แต่ว่าในประเทศมีรถพวงมาลัยซ้ายไม่พอใช้ ทางการเลยอนุโลมให้ใช้รถพวงมาลัยขวาได้ และไปๆ มาๆ กลายเป็นว่ารถส่วนใหญ่จะเป็นพวงมาลัยขวาหมด (ตั้งแต่รถส่วนตัวยันรถแท็กซี่) จะมีพวงมาลัยซ้ายก็คือรถบัสและรถของรัฐเท่านั้น แทบไม่มีรถส่วนตัวเป็นพวงมาลัยซ้ายเลย

ในเรื่องถนนหนทางนั้นแม้ว่าถนนในพม่าจะมีราดยางตลอด แต่คุณภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผิวไม่ค่อยเรียบ (แต่ก็ไม่ได้เป็นหลุมเป็นบ่อนะ มันแค่ไม่เรียบ) และเส้นจราจรก็ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่

ที่พักแรกของทริปนี้คือที่ Hotel Iceland ที่นี่เป็นโรงแรมธรรมดานี่แหละ แต่มีห้องอาหารจะอยู่บนดาดฟ้า (เห็นว่าเป็นบาร์ด้วย แต่กลางคืนไม่ได้ขึ้นไปหรอก) ตอนแรกว่าจะไปเที่ยวพระราชวังมัณฑะเลย์ก่อนแล้วไปดูอาทิตย์ตกที่มัณฑะเลย์ฮิลล์ แต่พอเช็คอินแล้วเผลอหลับไปแป๊บนึง ดังนั้นเลยต้องพับแผนที่ว่าทิ้งไป เหลือแค่เดินเล่นรอบๆ แทน

มาพูดถึงเรื่องอาหารการกินกันบ้าง เอาจริงๆ วันแรกนี้ผมก็ยังไม่ได้กินอาหารพม่านะ ได้จบที่ซื้อมาม่ามาต้มกินแทน คือแม้ว่าที่นี่จะไม่มี 7-11 แต่ก็จะมีร้านสะดวกซื้อ Coco (หน้าตาคล้ายๆ แฟมิลีมาร์ท) และร้าน Grab & Go ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงให้เราได้ไปซื้อของกินประทังความหิวได้บ้าง

ในมัณฑะเลย์นี้นอกจากร้านอาหารพม่า (ที่มีตั้งแต่ร้านในตึกเป็นที่เป็นทาง ไปยันร้านข้างทาง) ก็ยังพอมีอาหารต่างชาติด้วย ซึ่งในมัณฑะเลย์นี้มีแม้กระทั่ง KFC และ The Pizza Company (อันนี้ได้กินวันศุกร์-เสาร์ ก่อนกลับไทย) และเห็นมีร้านปิ้งย่างยากินิกุที่มีเนื้อวากิว A5 ด้วย (ไม่ได้กิน) ส่วนพวกขนมพม่าก็จะมีขายอยู่ตลอดตามข้างทาง

ข้อควรระวังของคนที่จะมาเที่ยวพม่าคืออาหารพม่าหลายอย่างประกอบด้วยถั่วลิสง ดังนั้นคนแพ้ถั่วลิสงต้องระวังกันสักหน่อย ผมก็แพ้อะไรไปสักอย่างเหมือนกัน กินไปได้สองสามคำแล้วเริ่มคันปาก เลยเลิกกินไป

ย้อนกลับมาที่เรื่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและร้าน Coco นิดนึง คือบะหมี่แบรนด์ไทยอย่างมาม่า ยำยำ และไวไว มีขายครบ ซึ่งมันมีทั้งแบบที่ผลิตจากในไทย (เท่าที่เห็นไวไวจะผลิตในไทย) และที่ผลิตในพม่า (มาม่าและยำยำ) ซึ่งที่นี่เราจะได้เห็นซองรุ่นเก่าที่ไม่ได้เห็นในไทยแล้ว หรือแม้แต่รสแปลกๆ ที่ไม่เห็นในไทย อย่างยำยำ Xcite รสหม่าล่า (มันคือยำยำ ที่ซองเหมือนกับไวไวควิกบ้านเรา)

ที่ผมไม่เห็นคือมาม่ารสหมูสับ แต่พวกรสต้มยำกุ้งนี้มีครบ (มียำยำรสต้มยำกุ้งด้วย ในไทยนี่ผมว่าไม่เห็นมานับสิบปีแล้วมั้ง) ส่วนพวกบะหมี่เกาหลีรสเผ็ดต่างๆ ก็มีให้เลือกกินเช่นกัน

ในด้านเครื่องดื่ม น้ำเปล่ามีขายตั้งแต่ขวดละ 100 จ๊าดไปถึง 300 จ๊าด โค้กขวด 600 มิลลิลิตรขายตามร้านโชห่วยในราคา 600 จ๊าด (ถ้าเป็นในร้านอาหารหรือตามที่ท่องเที่ยว จะเป็น 1,000 จ๊าด) ทั้งนี้รู้สึกว่าแบบขวดจะหาค่อนข้างยาก ส่วนมากขายเป็นกระป๋องมากกว่า

อีกอันนึงที่ผมว่าน่าซื้อติดกระเป๋าไว้สักสามสี่อันคือเนื้อเผ็ดพร้อมทานอันนี้ (เจอในร้าน Coco) ดูจากภาษาแล้วน่าจะนำเข้าจากจีน รสชาติเผ็ดๆ กึ่งโอเค กึ่งแปลก เอาไว้กินประทังความหิวตอนเที่ยวระหว่างวันได้

เนื้อเผ็ดพร้อมทาน อันขวาบนมีถั่วเป็นส่วนประกอบ

วันที่สอง – เที่ยวเมืองรอง สะกาย มิงกุน อังวะ และสะพานไม้อูเบ็ง

ตอนเราเช็คอินที่โรงแรม เราสามารถให้โรงแรมช่วยจัดการจองตั๋วไปพุกามให้ได้เลย (ราคา 9,000 จ๊าด หรือประมาณ $6 จะถูกกว่าจองออนไลน์เองอยู่เกือบเท่าตัว) และสามารถให้โรงแรมติดต่อหาแท็กซี่นำเที่ยวได้ โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 55,000 – 60,000 จ๊าด (ประมาณ $35-$40)

สำหรับมื้อเช้ามื้อแรกนี้จะขึ้นมากินบนดาดฟ้าของโรมแรม ซึ่ง Hotel Iceland นี้จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดในละแวกนั้น สามารถเห็นวิวในมัณฑะเลย์ได้อย่างทั่วถึงจากชั้นดาดฟ้า (ตอนเช้าก็ขึ้นไปกินข้าวไปชมวิวไปได้)

ตอนเช้าในมัณฑะเลย์ กับอากาศประมาณ 17 องศา

จากที่เคยบอกไปแล้วว่าอาหารพม่าจะมีส่วนประกอบเป็นถั่วลิสงจำนวนมาก อันนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คือให้ลองดูอาหารเช้าของโรงแรมจานนี้

ในจานนี้คือจะมีคล้ายๆ ผัดเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งจะผัดร่วมกับถั่วลิสงป่น (แบบที่เราใส่ก๋วยเตี๋ยวกินกัน) ตัวข้าวผัดนัดมีผัดรวมกับถั่วลิสงแบบเม็ด ผัดข้าวโพดเข้าใจว่าไม่มีถั่ว ส่วนเกี๊ยวทอดจะเป็นไส้ถั่วบด

มานึกๆ อีกที ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคือถั่วลิสงนิ่มๆ หรือถั่วลูกไก่

จริงๆ นอกจากอาหารแล้ว ขนมพื้นเมืองของพม่าก็มีส่วนประกอบเป็นถั่วลิสงเหมือนกัน เช่นขนมอันนี้ (เรียกว่าอะไรไม่รู้ เนื้อร่วนๆ ย่างไฟ ราดน้ำกะทิ) ก็จะมีถั่วลิสงประกอบอยู่เหมือนกัน (เห็นเหลืองๆ ทีแรกผมนึกว่าเม็ดบัว กินไปจริงๆ มันคือถั่วลิสง)


กลับมาที่เรื่องเที่ยวของเราหน่อย ทริปที่ไปนี้จะเป็นทริปสำเร็จรูปที่แท็กซี่นำเที่ยวจะพาไป นั่นคือไปเมืองรองรอบๆ มัณฑะเลย์ ได้แก่ สะกาย, มิงกุน, และอังวะ จากนั้นจึงย้อนกลับมาดูออาทิตย์ตกที่สะพานไม้อูเบ็ง

อย่างหนึ่งที่อยากแนะนำให้เอาติดไม้ติดมือไปด้วย (นอกจากเนื้อเผ็ดข้างบน) คือพวกกระติกสูญญากาศหรือกระติกเก็บความเย็นต่างๆ ให้เทน้ำเย็นอะไรให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง เพราะระหว่างทางขับรถไปแต่ละที่ค่อนข้างจะไกล และไม่ได้มีร้านขายของตลอดทางแบบในไทย แม้แท็กซี่บางคันจะมีน้ำให้แต่ก็มักจะแช่อยู่ในลังโฟม (บางคันไม่แช่ด้วยซ้ำ) ซึ่งแป้บเดียวมันก็หายเย็น

ที่แรกที่คนขับรถพาไปคือวัดพระมหามุนี ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระมหามัยมุนี หนึ่งในพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่า ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีการย้ายไปประดิษฐานที่นั่นที่นี่อยู่หลายครั้ง ก่อนจะมาจบที่เมืองมัณฑะเลย์

คนพม่าเชื่อว่าพระมหามัยมุนีนั้นมีชีวิต ดังนั้นในทุกๆ วันตอนตีสี่ก็จะมีพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนีด้วย (แต่ผมตื่นไม่ทัน อดดู)

สำหรับคนที่จะเข้าไปถ่ายรูปในวัดพระมหามุนีจะต้องจ่ายค่าทำเนียมด้วย (น่าจะประมาณ 1,000 จ๊าดถ้าจำไม่ผิด)

การเข้าวัดที่นี่ (รวมถึงเจดีย์และโบราณสถานที่เป็นศาสนสถานต่างๆ) จะต้องถอดทั้งถุงเท้าและรองเท้า และนุ่งผ้ามิดชิดด้วย (เขาจะมีโสร่งให้ในกรณีที่เราใส่ขาสั้น)

นอกจากพระมหามัยมุนีแล้ว ในวัดยังมีส่วนพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของต่างๆ อยู่ด้วย ทั้งภาพวาดประวัติความเป็นมาของพระมหามัยมุนี สถานที่จำลองต่างๆ อาวุธโบราณ และของที่แต่ละประเทศถวายให้วัด (มีของไทยด้วย)

ผมใช้เวลาอยู่ในส่วนพิพิธภัณฑ์นานมาก (นานขนาดคนขับบอกว่านานไปโว้ย คนอื่นไม่เห็นใครนานขนาดนี้ 😂) พอออกมาแล้วแท็กซี่เลยรีบขับพาไปที่วัดมหากันดายงค์ต่อ

ที่แท็กซี่รีบพามาเพราะว่าเป็นเวลาที่เหล่าสามเณรเดินแถวออกมาฉันเพลพอดี ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ที่บรรดานักท่องเที่ยวจะมาถ่ายรูปกัน

หลังเหล่าสามเณรเดินแถวกันหมดแล้ว แท็กซี่ก็พาออกจากเมืองข้ามแม่น้ำอิรวดีไปยังเมืองสะกายต่อ (จริงๆ เมืองนี้สะกดว่า ซะไกง์ แต่คนไทยจะคุ้นกับชื่อ สะกาย กันมากกว่า)

อ้อ ตอนขับออกจากมัณฑะเลย์ข้ามมายังสะกาย จะมีด่านเก็บค่าผ่านทางอยู่ด้วย ตรงนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเท่าไหร่ เพราะแท็กซี่จะเป็นคนจ่าย

แม่น้ำอิรวดีเป็นแม่น้ำที่ใหญ่มาก แต่ว่าแม่น้ำนี้ค่อนข้างแห้ง ตื้น และมีเนินทรายโผล่พ้นน้ำอยู่ตลอด (ดูแล้วน่าจะเพราะไปช่วงที่น้ำลดพอดี ช่วงฤดูฝนน้ำน่าจะเยอะกว่านี้) แม่น้ำนี้ถือเป็นแม่น้ำสายหลักของพม่าที่พาดยาวตั้งแต่ตอนเหนือไปออกทะเลอันดามัน และเป็นเส้นทางการค้าหลักของพม่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ

สะกายเป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสถานศึกษา (น่าจะมีทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเหมือนจะเห็นพวกวิทยาลัยสงฆ์อยู่ที่นี่เหมือนกัน) และเป็นที่ที่คนจากมัณฑะเลย์จะมาเล่าเรียนกัน

ระหว่างที่กำลังขึ้นสะกายฮิลล์ก็เจอกับชีพม่า (น่าจะใช่นะ) ที่จะนุ่งผ้าสีชมพู ต่างกับชีไทยที่นุ่งผ้าสีขาว ซึ่งที่พม่านี่มีแม่ชีเยอะมากและสามารถเห็นได้ทั่วไป (ที่สะกายนี่น่าจะเป็นที่เรียนของชีด้วย เลยเห็นเยอะมาก แต่ในมัณฑะเลย์เองก็เห็นอยู่บ่อย)

ว่ากันว่าในพม่านี่แทบทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง จะผ่านการบวชเรียนมาแล้วอย่างน้อยก็ช่วงหนึ่งของชีวิต

บนสะกายฮิลล์เป็นที่ตั้งของวัดเจดีย์ Soon U Ponya Shin (ไม่แน่ใจว่าอ่านว่าอะไร) ที่บนนี้นอกจากตัววัดแล้วยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นสะกายได้ทั้งเมือง และยังเห็นสะพานข้ามแม่น้ำอิรวดีทั้งสองสะพานคู่กันด้วย (เสียดายว่าวันที่ไปฝุ่นเยอะมาก ภาพเลยมัวมาก)

และในบริเวณวัดใกล้ๆ กันยังมีเจดีย์ของบรรดาทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในพม่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ด้วย

อ้อ และในวัดนี้จะต้องจ่ายค่าทำเนียมการเข้าไปถ่ายรูปด้วยเช่นกัน

ข้างบนนี้ก็จะมีของกินขายอยู่บ้าง เช่นพวกขนมขบเคี้ยว น้ำดื่ม และขนมพม่า ที่มีลักษณะเป็นแป้งหนึบๆ (คล้ายๆ พวกตะโก้ หรือขนมชั้น) บางอันก็เป็นพวกข้าวเหนียวหวานๆ และแน่นอนว่ามีถั่วผสม

อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างสะพรึงกับขนมพวกนี้คือแม่ค้าจะใส่น้ำมันลงไปคลุกด้วยเพื่อไม่ให้ขนมมันติดกัน ทำให้เราได้ถุงที่มันแผล่บและขนมที่ชุ่มไปด้วยน้ำมัน (น่าจะเป็นน้ำมันงา) กินกันให้เลี่ยนไปข้าง

เสร็จจากสะกายก็ขับรถลงเขาเพื่อมุ่งหน้าสู่มิงกุน ถนนลงเขานี้เป็นราดปูนซีเมนต์ธรรมดา ขนาดกว้างแค่พอรถวิ่งผ่านคันเดียวแบบพอดีคันจริงๆ น่าหวาดเสียวมาก

ระหว่างทางนี้คนขับก็พาแวะกินข้าว ซึ่งน่าจะนับได้ว่าเป็นอาหารพม่ามื้อแรกจริงๆ โดยร้านที่ไปกินนี้ (น่าจะเป็นร้านประจำของคนขับ) จะเป็นเส้นหมี่คลุกกับซอสอะไรสักอย่างรสชาติเผ็ดๆ เนื้อร่วนๆ หน่อย มีความเลี่ยนเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วผมว่ากินได้อยู่ แต่ที่อร่อยที่สุดคือซุปอะไรสักอย่างที่เอามาให้กินคู่กัน

อ้อ นอกจากนี้ยังมีเหมือนเป็นเครื่องเคียงหรือของไว้ทานเล่นสักอย่าง เป็นแป้ง (มั้ง) ทอดกับข้าวโพด มีลูกชิ้นปลา และถั่วงอกเหี่ยวๆ ตัวแป้งนี่จะเลี่ยนๆ หน่อย แต่โดยรวมผมว่ามันอร่อยดีนะ (น่าเสียดายว่ากินไปสักพักผมรู้สึกคันปากยิบๆ ขึ้นมา เลยหยุดกิน)

โอเค เรามาถึงมิงกุนกันแล้ว ที่นี่จะเสียค่าเข้าด้วย (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 5,000 จ๊าด) เมื่อจ่ายแล้วจะได้สติ๊กเกอร์มาอันนึง จะสามารถเข้าชมโบราณสถานแถวๆ นั้นได้ทั้งหมด ทั้งตัวเจดีย์จักรพรรดิ ระฆังมิงกุน และเจดีย์ชินพิวเม

จริงๆ ถ้าใครมีเวลามากๆ จะล่องเรือจากมัณฑะเลย์มามิงกุนก็ได้เหมือนกัน ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง

ที่แรกที่แวะคือเจดีย์จักรพรรดิที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าปดุง (หลังจากช่วงสงครามเก้าทัพสักพักหนึ่ง) ตามแผนเดิมนั้นเจดีย์จักรพรรดิมีแผนที่จะสร้างให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่โตที่สุดในดินแดนสุวรรณภูมิ ใหญ่กว่าเจดีย์ทัตบินยูในพุกาม ใหญ่กว่าพระปฐมเจดีย์ในสยาม เมื่อสร้างเสร็จจะมีความสูงรวมราว 150 เมตร (ตอนที่หยุดสร้างนั้นสูงประมาณ 50 เมตร) ซึ่งเจดีย์จักรพรรดินี้ต้องใช้ทั้งเงินทั้งแรงงานจำนวนมหาศาล และอาจจะทำให้ประเทศล้มละลายได้ เลยมีการปล่อยคำทำนายออกมาว่าประเทศจะเทศจะล่มจม (บ้างก็ว่ากษัตริย์จะสิ้นพระชนม์) เมื่อเจดีย์สร้างเสร็จ เพื่อให้ยืดระยะก่อสร้างออกไป จนกระทั่งพระเจ้าปดุงสวรรคตไปก่อน จากนั้นการก่อสร้างเจดีย์จึงหยุดลง

ข้างๆ เจดีย์จักรพรรดิจะมีระฆังมิงกุนที่จัดได้ว่าเป็นระฆังที่ยังใช้งานได้ใบที่ใหญ่ที่สุดในโลกในตอนนี้ ซึ่งระฆังใบนี้ก็ถูกสร้างมาเพื่อคู่กับเจดีย์จักรพรรดินั่นแหละ

ยังครับ ความจัดใหญ่ไฟกระพริบของเจดีย์จักรพรรดิยังไม่จบ ที่ด้านหน้าของเจดีย์ (ฝั่งหันเข้าแม่น้ำอิรวดี) จะมีการก่อรูปปั้นสิงโตสองตัวเพื่อเป็นเหมือนสิงโตเฝ้าเจดีย์ไว้ด้วย ซึ่งจริงๆ สิงโตคู่นี้สร้างเสร็จแล้ว แต่พังลงตอนเกิดแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อปี 2016 ไกด์บอกว่าหัวสิงโตหัวหนึ่งหักลงแล้วกลิ้งหายไปในแม่น้ำอิรวดีนี่เอง

ใกล้ๆ กันกับเจดีย์จักรพรรดิจะมีเจดีย์สีขาวอีกองค์หนึ่งคือเจดีย์ชิวพิวเม ที่ได้ฉายาว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี เพราะเจดีย์สีขาวแห่งนี้เป็นเจดีย์ที่พระเจ้าบากะยีดอว์สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักต่อพระมหาเทวีชิวพิวเม

ออกจากมิงกุน คนขับรถก็พากลับไปสะพานไม้อูเอ็งเพื่อรออาทิตย์ตก แต่ระหว่างทางกลับก็พาแวะเมืองอังวะก่อน โดยเมืองอังวะนี้เคยเป็นเมืองหลวงของพม่ามาหลายสมัยมาก ก่อนจะจะถูกทิ้งร้างไปจากเหตุแผ่นดินไหว

เมืองอังวะนั้นตั้งอยู่ตรงระหว่างแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำตู มีการขุดคลองล้อมด้านหลัง ทำให้ตัวเมืองมีลักษณะเหมือนเป็นเกาะอยู่กลางน้ำ การจะเข้าไปในเมืองนั้นเราต้องนั่งเรือข้ามไป

จุดขายของเมืองอังวะอยู่ที่การนั่งรถม้าเที่ยวรอบเมือง แต่ด้วยเวลาที่เรามีไม่มากเพราะต้องรีบไปอูเบ็งก่อนอาทิตย์ตก ทำให้เรามีเวลาอยู่แค่ราวๆ 45นาทีเท่านั้นจึงทำให้ไม่สามารถนั่งรถม้าชมทั่วทั้งเมืองอังวะได้ โชคดีกว่าเจอฝรั่งที่พักอยู่โรงแรมเดียวกันเลยช่วยกันหารค่ารถม้า รู้สึกคุ้มขึ้นมาได้อีกหน่อย

รถม้านี้จะเป็นราคาเหมาจ่าย คือต่อให้เราไม่ได้นั่งเต็มเวลาแต่เขาก็จะไม่ลดให้ และเราต้องจ่ายเงินให้คนเก็บเงินตั้งแต่ก่อนออกรถ ดังนั้นใครคิดจะไปต่อราคาทีหลังก็หมดสิทธิ์

ที่ที่ได้นั่งไปดูที่แรกคือวัดบากะยาซึ่งเป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ที่นี่จะเสียค่าเข้า 10,000 จ๊าด จ่ายแล้วเราจะได้ตั๋วแบบนี้มา ตั๋วใบนี้จะมีอายุ 5 วัน สามารถใช้เข้าชมโบราณสถานสำคัญต่างๆ ในแถบมัณฑะเลย์ได้ (ถ้าใครไปพระราชวังมัณฑะเลย์หรือโบราณสถานอื่นๆ แล้วได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้มาแล้ว ก็เอาตั๋วเดิมมาเข้าที่นี่ได้ต่อ)

ตั๋วนี้จำเป็นสำหรับเข้าชมในหลายๆ สถานที่ แต่จะมีแค่บางที่ที่มีการสแตมป์ตั๋ว (แปลว่าเข้าได้แค่ครั้งเดียว) ที่ต้องสแตมป์แน่ๆ คือพระราชวังมัณฑะเลย์กับในอังวะ (วัดบากะยากับพระราชวังอังวะ ปั๊มตราเดียว)

สถานที่ที่จำเป็นต้องใช้ตั๋วใบนี้ก็เช่น

  • พระราชวังมัณฑะเลย์
  • วัดชเวนันดอว์
  • เจดีย์ซานดามุนี
  • เจดีย์กุโสดอว์
  • วัดบากะยา
  • พระราชวังอังวะ
  • พิพิธภัณฑ์มัณฑะเลย์

พอออกจากวัดมาเราก็นั่งรถม้าไปดูเจดีย์เก่ารายทางไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปจบที่หอคอยเก่า และวนกลับออกมาที่ท่าเรือ

จากนั้นเราก็ออกจากอังวะ มุ่งหน้าไปยังสะพานไม้อูเอ็งที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของเมืองอมรปุระ สะพานไม้นี้ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลก พาดข้ามทะเลสาบตองตะมานด้วยความยาวทั้งสิ้น 1.2 กิโลเมตร และเป็นหนึ่งในจุดชมอาทิตย์ตกยอดนิยมในพม่า (แน่นอนว่าคนเป็นล้าน)

ได้ภาพก่อนอาทิตย์ตกมานิดหน่อย

จากนั้นก็ให้ภาพมันเล่าเรื่อง

หลังอาทิตย์ตกก็ให้แท็กซี่พากลับโรงแรม และปิดท้ายมื้อเย็นด้วยเบอร์เกอร์เนื้อจากร้านใกล้ๆ โรงแรม ผมพบว่าร้านที่นี่ไม่ได้ให้ซอสมะเขือเทศกันเป็นหลักแบบบ้านเรา แต่จะมีซอสพริกให้แทน (แปลกใจปนดีใจ เพราะผมไม่ชอบซอสมะเขือเทศ) แม้แต่ในตัวเบอร์เกอร์ก็จะราดซอสพริกมาให้แทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศแบบบ้านเรา

เบอร์เกอร์เนื้อที่ปราศจากซอสมะเขือเทศ

และเราก็จบวันที่สองของเราลงในเท่านี้

ต่อในตอนที่ 2

ความตั้งใจจริง คือจะเขียนบล็อกนี่ยาวเฟื้อยทีเดียวจบ แต่เขียนไปเขียนมาแล้วมันยาวไปเป็นกิโลแบบนี้ (ในภาพนี่คือแค่ประมาณครึ่งเดียวนะ)

ดังนั้น ขอยกไปต่อตอนที่สองแล้วกันนะครับ

The post 6 วันในพม่า เที่ยวมัณฑะเลย์ – พุกาม ตอนที่ 1 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/02/6-days-trip-mandalay-bagan-part-1/feed/ 1 3286