Journal Archives - JIRAYU.IN.TH โปรแกรมเมอร์, ช่างภาพ, และคนเลี้ยงแมว Fri, 24 Dec 2021 05:23:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.6.1 43932498 เที่ยววันเดียว หัวหิน-ปราณบุรี 24 ชั่วโมงใช้ให้คุ้ม /2021/12/huahin-pranburi-one-day-trip/ /2021/12/huahin-pranburi-one-day-trip/#respond Sun, 12 Dec 2021 17:35:47 +0000 /?p=3652 การขับรถโดยเฉพาะการเดินทางไกลๆ สำหรับผมแล้วมันเป็นหนึ่งในวิธีเยียวยาจิตใจที่ดีมากๆ วิธีหนึ่ง คือตอนขับรถเราจะลืมทุกอย่าง และจะจดจ่ออยู่กับเส้นทางตรงหน้าเท่านั้น ดังนั้นช่วงไหนเวลาอารมณ์ดิ่งมากๆ ก็จะหาเรื่องเดินทางไกลไปที่ไหนสักที (หรือบางทีก็ออกไปขับรถเล่นวนรอบกรุงเทพ) คือเมื่อ 4-6 ธันวาคมที่ผ่านมาผมก็จัดทริปไฟไหม้ขึ้นเหนือไปรอบนึงแล้ว (นึกเย็นออกค่ำ) วิ่งยาวจากกรุงเทพไปเขาค้อ ไปต่อที่เชียงใหม่ กลับมาแวะลำปาง แล้วค่อยกลับกรุงเทพ ขับยาวไปเกือบสองพันกิโล ล่าสุดวันที่ 11 ธันวาคมก็จัดทริปไฟไหม้อีกรอบ (นึกเย็นออกค่ำ) โดยคราวนี้ไปหัวหิน ขับรถไปเรื่อยๆ ในหนึ่งวัน ผมออกจากบ้านตีสามและกลับถึงบ้านตีสองครึ่งของอีกวัน เรียกว่า 24 ชั่วโมงนั้นใช้ให้คุ้มที่สุด อนึ่ง จริงๆ ตอนไปไม่ได้กะว่าจะกลับมาเขียนบล็อกหรอก เลยไม่ได้ถ่ายรูปและเก็บข้อมูลหลายๆ อย่างเผื่อเอาไว้ ดังนั้นทั้งภาพและข้อมูลก็จะขาดๆ เกินๆ ไปอยู่บ้างนะครับ สำหรับสถานที่คร่าวๆ ที่ไปมามีดังนี้ครับ ดูอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดหัวหิน กินมื้อเช้าที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ กับติ่มซำที่ร้าน Bar Indigo หมู่บ้านศิลปินหัวหิน สวนสัตว์หัวหินแฟนตาเซียปาร์ค (สวนสัตว์หัวหิน) วนอุทยานปราณบุรี ปากน้ำปราณบุรี ดูอาทิตย์ตกที่เขื่อนปราณบุรี เดินหาของกิน ของนู่นนั่นนี่ และชมดนตรีที่ Tamarind Market และ …

The post เที่ยววันเดียว หัวหิน-ปราณบุรี 24 ชั่วโมงใช้ให้คุ้ม appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
การขับรถโดยเฉพาะการเดินทางไกลๆ สำหรับผมแล้วมันเป็นหนึ่งในวิธีเยียวยาจิตใจที่ดีมากๆ วิธีหนึ่ง คือตอนขับรถเราจะลืมทุกอย่าง และจะจดจ่ออยู่กับเส้นทางตรงหน้าเท่านั้น ดังนั้นช่วงไหนเวลาอารมณ์ดิ่งมากๆ ก็จะหาเรื่องเดินทางไกลไปที่ไหนสักที (หรือบางทีก็ออกไปขับรถเล่นวนรอบกรุงเทพ)

คือเมื่อ 4-6 ธันวาคมที่ผ่านมาผมก็จัดทริปไฟไหม้ขึ้นเหนือไปรอบนึงแล้ว (นึกเย็นออกค่ำ) วิ่งยาวจากกรุงเทพไปเขาค้อ ไปต่อที่เชียงใหม่ กลับมาแวะลำปาง แล้วค่อยกลับกรุงเทพ ขับยาวไปเกือบสองพันกิโล ล่าสุดวันที่ 11 ธันวาคมก็จัดทริปไฟไหม้อีกรอบ (นึกเย็นออกค่ำ) โดยคราวนี้ไปหัวหิน ขับรถไปเรื่อยๆ ในหนึ่งวัน ผมออกจากบ้านตีสามและกลับถึงบ้านตีสองครึ่งของอีกวัน เรียกว่า 24 ชั่วโมงนั้นใช้ให้คุ้มที่สุด

อนึ่ง จริงๆ ตอนไปไม่ได้กะว่าจะกลับมาเขียนบล็อกหรอก เลยไม่ได้ถ่ายรูปและเก็บข้อมูลหลายๆ อย่างเผื่อเอาไว้ ดังนั้นทั้งภาพและข้อมูลก็จะขาดๆ เกินๆ ไปอยู่บ้างนะครับ

สำหรับสถานที่คร่าวๆ ที่ไปมามีดังนี้ครับ

  1. ดูอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดหัวหิน
  2. กินมื้อเช้าที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ กับติ่มซำที่ร้าน Bar Indigo
  3. หมู่บ้านศิลปินหัวหิน
  4. สวนสัตว์หัวหินแฟนตาเซียปาร์ค (สวนสัตว์หัวหิน)
  5. วนอุทยานปราณบุรี
  6. ปากน้ำปราณบุรี
  7. ดูอาทิตย์ตกที่เขื่อนปราณบุรี
  8. เดินหาของกิน ของนู่นนั่นนี่ และชมดนตรีที่ Tamarind Market และ Cicada Market

ดูอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาดหัวหิน

จากที่เปิดแอพพยากรณ์อากาศดู หัวหินในช่วงนี้จะอาทิตย์ขึ้นเวลา 6:31 นาฬิกา จากนั้นลองเปิดกูเกิลแมพลากเส้นจากบ้านไปหาดหัวหิน พบว่าใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมง ดังนั้นตอนเย็นวันที่สิบเลยเข้านอนตั้งแต่ทุ่มนึง มาตื่นตอนตีสองอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกจากบ้านตอนตีสาม วิ่งไปทางถนนพระรามสองแล้วเข้าเพชรเกษมยาวๆ ไปจนถึงหัวหิน

ผมมาถึงหัวหินตอนประมาณหกโมงพอดี เช้าๆ มีคนเยอะพอสมควร มีกลุ่มคุณย่าคุณยายมาเต้นกายบริหารตอนเช้าด้วย และวันนี้สามารถเห็นดวงอาทิตย์เป็นไข่แดงขึ้นจากน้ำได้เลย สวยมาก

กินมื้อเช้าที่ร้านเจ๊กเปี๊ยะ กับติ่มซำที่ร้าน Bar Indigo

ร้านกาแฟเจ๊กเปี๊ยะเป็นร้านอาหารเช้าขึ้นชื่อของหัวหิน ผมเช็คที่ไหนก็บอกเปิดเจ็ดโมงครึ่ง ประมาณเจ็ดโมงสิบห้าเลยออกจากหาด ขับรถวนมานิดหน่อยถึงหน้าร้านตอน 7:20 ใครที่จะเดินไปจากหาดก็เดินออกมาแล้วเลี้ยวเข้าซอยนเรศดำริห์ตรงเซเว่น (ทางไปโรงแรมฮิลตัน) เดินตามซอยไปเรื่อยๆ จะไปโผล่ท้ายซอยเดชานุชิต (หัวหิน 57) เลี้ยวเข้าซอยแล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ เลย ร้านอยู่หัวมุมเกือบๆ ปากซอย

ตอนมาถึงปรากฎว่าคนเต็มร้านแล้ว เลยต้องไปยืนต่อคิวหน้าร้าน ทีนี้พอต่อคิวไปสักพักคุณป้าในร้านก็เรียกคิวสองคน ผมก็ยืนอยู่กับพี่คนนึงสองคนอยู่หน้าร้านเลยเดินเข้าไปแบบงงๆ พอสั่งมื้อเช้าก็ค้นพบว่าสองคนที่ว่าคือคุณพี่เขามากับแฟนเขา แล้วจองโต๊ะไว้กับแฟน ผมนี่นั่งตัวลีบเลย

จังหวะนี้ไม่กล้าหยิบมือถือมาถ่ายต้มเลือดหมูหรอกนะ กินเสร็จแล้วรีบลุกหนีเลย

ด้วยความที่ยังไม่อิ่มเลยกะจะไปกินติ่มซำต่อนิดหน่อย เลยเดินไปตามถนนเลียบเคหาสถ์เพื่อไปร้านติ่มซำเติมพุง (ชื่อในกูเกิลแมพจะเป็นติ่มซำภูเก็ต) แต่พอไปถึง ด้วยความที่ผมชอบกินฮะเก๋าแล้วพบว่าของร้านเติมพุงหน้าตาไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ (อาจจะอร่อยนะ ไว้เดี๋ยววันหลังจะไปลอง) เลยเดินย้อนกลับมาร้านติ่มซำอีกร้านที่อยู่ตรง Bar Indigo ดูทรงแล้วน่าจะเป็นร้านติ่มซำโนเนมที่มายืมที่หน้าร้าน Bar Indigo ขายเฉยๆ แต่ตอนเช้าร้านว่าง เลยสั่งเครื่องดื่มจาก Bar Indigo แล้วนั่งกินติ่มซำในร้านได้สบายๆ

ติ่มซำเขาอร่อยใช้ได้เลยนะ ฮะเก๋ากรุบๆ ซาลาเปานุ่มมาก กับอะไรอีกสองอย่างที่ผมเรียกไม่ถูก อร่อยเหมือนกัน ราคาเข่งละ 20 บาท จริงๆ มีให้เลือกหลายอย่าง แต่ลืมถ่ายรูปมาครับ

หมู่บ้านศิลปิน

ผมขับรถวนออกมาทางซอยหัวหิน 61 (ซอยหาดหัวหินนั่นแหละ) เข้าซอยหัวหิน 76 สุดซอยนี้จะเป็นสถานีรถไฟหัวหิน สามารถแวะถ่ายรูปกันได้ครับ เห็นมีหัวจักรไอน้ำเก่าจอดอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้แวะ แฮ่

ระหว่างทางไปหมู่บ้านศิลปินจะผ่านหมูบ้านช้างหัวหินด้วย ผมลองแวะเข้าไปแล้วเจอช้างอยู่สามสี่เชือก สามารถซื้อกล้วยมาป้อนช้างได้ และสามารถขี่ช้างไปตามเส้นทางที่จัดไว้ได้ด้วยเช่นกัน แต่ตอนผมไปเขากำลังอาบน้ำช้างกันอยู่ อะไรๆ เลยยังไม่เข้าที่เข้าทางดีหนัก ยืนดูช้างอยู่แป้บนึงก็ออกมาแล้วไปหมู่บ้านศิลปินต่อ

ผมมาถึงหมู่บ้านศิลปินตอนประมาณเกือบๆ สิบโมง (เปิดสิบโมงตรง) ภายในจะมีส่วนที่เป็นร้านอาหาร แกลลอรี่ภาพ และส่วนพิพิทธภัณฑ์ ผมได้เดินแค่ส่วนพิพิธภัณฑ์อย่างเดียว ค่าตั๋วเข้าชมแค่ 40 บาทเท่านั้น ภายในงานจะมีการจัดแสดงภาพวาดและงานศิลปะจากศิลปินหลายๆ ท่าน เช่นภาพสีน้ำของ อ.ทวี เกษางาม หรืองานศิลปะจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Nano Nano จากศิลปินชาวญี่ปุ่น อ.โคอิจิ มิยาจิมะ

นอกจากงานศิลปะแล้วยังมีโซนเวิร์กช็อปที่เปิดให้ผู้เข้าชมสามารถสร้างงานศิลปะเองได้ด้วย เท่าที่เห็นคือมีตั้งแต่วาดรูปลงสี ไปจนถึงงานปั้นต่างๆ ถ้าจำข้อมูลตรงนี้ไม่ผิด คือจะมีค่าเวิร์กช็อป 150 บาท และค่าอุปกรณ์แยกอีกต่างหาก

ออกจากโซนพิพิธภัณฑ์มาจะเป็นส่วนของตลาดนัดคุณนายตื่นสาย ที่จะมีทุกวันเสาร์ ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงบ่ายสามโมง ลักษณะเป็นตลาดนัดเล็กๆ มีของกินให้พอเลือกหยิบแก้หิวได้ มีต้นไม้และของงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ มาขายด้วย ผมได้ข้าวยำปักษ์ใต้มากินห่อนึง (ครั้งแรกที่กินเลย) คุณลุงคนขายแกบอกว่าพวกผักต่างๆ ในห่อนั้นมาจากสวนของแกเอง ปลูกเองแบบออร์แกนิค ไร้สารเคมี

สวนสัตว์หัวหินแฟนตาเซียปาร์ค

ออกจากหมู่บ้านศิลปินขับรถตรงมาเรื่อยๆ ประมาณสิบนาทีก็มาถึงสวนสัตว์หัวหิน (ตอนเวลาประมาณ 11:30) หรือหัวหินแฟนตาเซียปาร์ค มีค่าเข้าผู้ใหญ่ 150 บาท และเด็ก 50 บาท

ตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็น GIF นะครับ ไฟล์ใหญ่โตมาก เพราะมัวแต่ถ่ายสตอรี่น้อนๆ ลืมเก็บรูปนิ่งเลย

ที่นี่เป็นสวนสัตว์เล็กๆ ไม่สัตว์ไม่มากนัก เช่นกระต่าย หนูตะเภา นกแก้ว นกยูง แกะ กวาง ช้าง ม้า วัว ควาย (literally) มีหมูและเป็ดวิ่งร่อนทั่วสวน รวมไปถึงการแสดงโชว์จรเข้ที่หวาดเสียววูบวาบระดับหนึ่ง

อ้อ เลยไปทางวนอุทยานปราณบุรี จะมีสวนสัตว์หัวหินซาฟารีอีกที่นะครับ แต่ผมไม่ได้แวะ

เราสามารถให้อาหารสัตว์ได้ด้วยนะ จะมีขายอยู่สองจุดคือทางเข้าด้านหน้า เป็นอาหารรวม มีกล้วย แครอท อาหารปลา (เป็ดไก่กินได้) และเมล็ดทานตะวันสำหรับนกแก้ว ราคา 100 บาท และอีกจุดหนึ่งคือโซนช้าง ตรงนี้จะเป็นกล้วยล้วน ราคา 100 บาทเช่นกัน

เดินลึกเข้ามาอีกหน่อยจะเป็นโซนจรเข้ จะมีโชว์จรเข้อยู่เรื่อยๆ เราสามารถถ่ายรูปคู่กับจรเข้และ “ตกจรเข้” ได้ด้วย (อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไงนะ ไม่ได้ลอง) และมีลูกจรเข้อยู่ในบ่อเล็กๆ ให้ได้ดูใกล้ๆ ด้วย

ตอนเดินเข้ามาในสวนก็คือให้อาหารไปเรื่อยจนหมด ตอนขากลับถึงเห็นว่าเลยกรงนกแก้วเข้าไปจะมีคอกม้าและคอกวัวอยู่ด้วย มันไม่ได้อยู่ใกล้กับทางเดินหลัก คิดว่านักท่องเที่ยวน่าจะเห็นน้อยและคงได้กินน้อยลงไปด้วย น้องม้าสีขาวคืออ้อนมาก เดินตามด๊อกแด๊กเหมือนหมาเลย

จริงๆ ที่สวนสัตว์หัวหินจะมีสิงโตขาวชื่อน้องมีนาเป็นจุดขายด้วย แต่ตอนที่ผมไปไม่เจอน้อง มีแต่กรงเปล่าๆ

วนอุทยานปราณบุรี

ผมออกจากสวนสัตว์หัวหินตอนเกือบๆ บ่ายโมง ขับรถไปเรื่อยๆ ประมาณ 45 นาทีก็มาถึงวนอุทยานปราณบุรีตอนประมาณ 13:45 ถนนเข้าวนอุทยานจะงงๆ นิดหน่อย คือจากถนนเพชรเกษมแล้วเราเลี้ยวเข้ามาตามถนน 1019 เมื่อก่อนเราจะสามารถข้ามทางรถไฟแล้วตรงไปอุทยานได้เลย แต่ตอนนี้มีการสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ (แบบเดียวกับที่สวนสนประดิพัทธ์) พอเราข้ามสะพานมาแล้วต้องกลับรถแล้วเข้าใต้สะพานเพื่อไปทางวนอุทยานอีกที ถ้าไม่สังเกตุดีๆ อาจจะเลยได้

ภายในวนอุทยาน หลักๆ จะมีอยู่สองโซนคือโซนหาดปราณคีรี (และป่าสน) กับโซนป่าชายเลน

หาดปราณคีรีเป็นหาดที่สงบมาก ลมเย็นสบาย คนน้อย (นี่ขนาดไปวันหยุดนะ คนยังน้อยมากๆ เลย) ตัวหาดไม่ได้กว้างมากเท่าไหร่นัก หาดสะอาดระดับหนึ่ง น้ำช่วงนี้ใสมาก

ส่วนที่เป็นหาดผมเห็นจะมีสองส่วน ส่วนแรกคือหาดที่อยู่ตรงแนวขอบอุทยาน (ตรงป้ายอุทยาน) ตรงนี้จะเงียบมาก มีกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ สองสามกลุ่มมานั่งปูเสื่อกินอาหารกัน (เห็นมีรอยก่อกองไฟด้วย น่าจะก่อไปทำอาหารได้)

อีกส่วนจะเป็นหาดที่อยู่ด้านในอุทยาน ตรงนี้จะเป็นจุดกางเต้นท์ของทางอุทยาน

อีกส่วนที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ก็คือบริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ที่มีการสร้างสะพานไม้ความยาวหนึ่งกิโลเมตรเอาไว้ (ทางจะเดินเป็นวงกลม สุดทางที่ทางเข้าพอดี) ตลอดทางจะมีป้ายบอกข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์และต้นไม้ต่างๆ ในระบบนิเวศน์

พื้นที่ส่วนใหญ่ของเส้นทางจะเป็นป่าโกงกาง เมื่อเดินเข้ามาได้ประมาณครึ่งทางจะเป็นท่าเรือเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถล่องเรือชมป่าโกงกางในบริเวณนั้นได้ด้วย

พอพ้นแนวป่าโกงกางออกมาจะเป็นทุ่งโปรงทองสีเขียวสบายตาตัดกับสีท้องฟ้าสีน้ำเงินสวยมาก ตรงชายทุ่งจะมีหอชมวิวเล็กๆ อยู่ด้วย สามารถขึ้นไปชมวิวรอบทิศและถ่ายรูปสวยๆ ได้

ปากน้ำปราณบุรี

หลังจากยืนตากลมตากลมทะเลอยู่สักพักใหญ่ๆ ก็ขับรถออกจากวนอุทยานตอนประมาณสี่โมงเย็นเพื่อไปยังปากน้ำปราณบุรีต่อ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย

คือจากรูปหาดข้างบน จะเห็นว่าในภาพไกลๆ มีต้นไม้ยื่นลงไปในทะเล ตรงนั้นแหละคือปากแม่น้ำปราณบุรี แต่ว่าเราไม่สามารถวิ่งทะลุอุทยานออกไปฝั่งปากแม่น้ำได้ เราต้องขับรถออกมา อ้อมอุทยาน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จะไปถึงตรงจุดจอดรถอีกฝั่งของแม่น้ำ ที่เราสามารถจอดรถแล้วเดินชายหาดเล็กๆ ตรงนั้นได้ หรือถ้าอยากเข้าไปลึกหน่อย ตรงปลายถนน (แถวๆ จุดลงเรือ) จะมีทางดินเล็กๆ ให้ขับรถเข้าไปได้เหมือนกัน

ตรงปากแม่น้ำสามารถไปนั่งตกปลาได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมากนัก แวะเติมน้ำแข็งแล้วไปเขื่อนปราณบุรีกันต่อ

ดูอาทิตย์ตกที่เขื่อนปราณบุรี

จริงๆ ตอนแรกเขื่อนปราณบุรีไม่ได้อยู่ในแผน (ตอนแรกจะไปถนนคนเดินปราณบุรี) แต่ตอนอยู่ที่ปากน้ำมันแค่ประมาณสี่โมงกว่าๆ เท่านั้น เลยเปิดกูเกิลแมพดูแล้วเจอว่าบนสันเขื่อนมันเห็นอาทิตย์ตกพอดี เช็คแอพพยากรณ์อากาศอีกรอบพบว่าอาทิตย์ตก 17:55 เลยออกจากปากน้ำและขับรถต่อไปประมาณ 40 นาทีก็ถึงเขื่อนปราณบุรีตอนประมาณห้าโมงครึ่ง

ตอนไปถึงเขื่อน หลายท่านอาจจะทราบแล้ว แต่ผมไม่ทราบ ก็คือผมไปถามเจ้าหน้าที่ข้างหน้าว่าเขื่อนปิดกี่โมง เขาบอกว่าถ้าจะขึ้นไปดูอาทิตย์ตกให้เลี้ยวไปอีกทาง เพราะเข้าไปข้างหน้าเขาจะปิดเอาไว้ ผมก็ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่แจ้งให้ทราบแล้วกลับรถออกมา เลี้ยวไปตามทางที่พี่เจ้าหน้าที่บอกก็มาถึงบนสันเขื่อนตอนประมาณ 17:40 ดวงอาทิตย์เริ่มลงต่ำใกล้กับแนวยอดเขาเข้าไปทุกที

ผมรอไม่นานนักก็ได้เห็นอาทิตย์ไข่แดงตกดินแบบเต็มตา (วันนี้ฟ้าดีมาก ไม่มีเมฆมากวนเลยทั้งเช้าและเย็น)

เวลาประมาณหกโมงก็ออกจากเขื่อนมา แผนเดิมคือจะไปถนนคนเดินปราณบุรีต่อ แต่พอไปถึงที่แล้วพบว่ามันไม่เปิด เป็นซอยว่างๆ ไม่มีอะไรเลย ตอนแรกก็นึกว่าเลี้ยวผิด วนไปวนมาอยู่หลายรอบถึงมั่นใจว่ามาถูกแล้ว แต่มันไม่มีถนนคนเดิน แถมเอารถไปครูดกับกระถางต้นไม้มาอีกต่างหาก เห้อ

Tamarind Market และ Cicada Market

แทมารินกับซิเคด้าเป็นสองตลาดที่ตั้งอยู่ติดกัน ใครมาหัวหินก็ต้องแวะมา ผมมาถึงตอนประมาณ 19:20 ที่จอดรถที่อยู่เลยแทมารินมาก็เต็มแน่นเอียด ต้องวนรถอยู่สักพักกว่าจะมีรถออกให้เสียบเข้าไปได้ ตรงนี้จะมีค่าจอด 50 บาท ปิดประตูตอนห้าทุ่มครึ่ง

ฝั่งแทมารินจะเป็นเหมือนสวนอาหาร ของกินเต็มไปหมด น่ากินทั้งนั้น แต่ด้วยความที่ไปคนเดียวก็เลยไม่มีแรงกินอะไรมากนัก ซื้อไก่ย่างจานนึงกับข้าวเหนียวห่อนึง และไอศครีมซอฟต์เสิร์ฟอีกถ้วย เป็นอันจบมื้อเย็น

อย่างที่ทราบกันว่าตอนนี้ก็เริ่มกลับมาดื่มแอลกอฮอลและฟังดนตรีสดได้แล้ว ใครเหมารถตู้มาหรือมากับเพื่อนฝูงก็สามารถจัดแอลกอฮอลได้เต็มที่เลยครับ และอย่าลืมให้ทิปพี่น้องนักร้องนักดนตรีกันด้วยนะครับ

ส่วนฝั่งซิเคด้าก็จะเป็นพวกงานฝีมือ (ถ้าจำไม่ผิดมีอาหารด้วยนะ แต่น้อยกว่าแทมาริน) ว่ากันตรงๆ ผมไม่ได้เดินเท่าไหร่หรอก เพราะมัวแต่ดูดนตรีที่แสดงอยู่ฝั่งซิเคด้า ที่จะมีสองกลุ่มคือกลุ่มแรกเป็นวงขิมที่เล่นเมดเลย์ทั้งเพลงไทยและเพลงสากล จะเล่นอยู่แถวๆ ทางเข้า กับอีกวงคือวงปล้ำแรงที่เล่นอยู่ตรง … เขาเรียกอะไรนะ ออดิเทอเรียม? อะไรสักอย่าง เวทีหลักแล้วกัน

ผมชอบทั้งสองวงเลย วงขิมก็เล่นเพลงร็อคๆ อย่างเพลงของ Linkin Park ให้กลายเป็นเพลงสบายๆ ฟังลื่นหู ส่วนวงปล้ำแรงก็เล่นกับคนดูได้สนุกและเพลิดเพลินดีมาก เห็นพี่แป้งนักร้องนำพูดว่าเขาเปิดร้านข้าวซอยอยู่ เดี๋ยวว่างๆ จะลองไปกินบ้าง

อยากบอกพี่แป้งและวงปล้ำแรงว่าผมไม่ใช่หมอนะ 555

ผมนั่งดูวงปล้ำแรงเล่นอยู่จนถึงห้าทุ่มถึงได้ออกมา (เดี๋ยวลานจอดรถจะปิดเสียก่อน) ตอนแรกว่าจะแวะถนนคนเดินหัวหินแต่ด้วยความที่กินอิ่มแล้วเลยไม่ได้แวะต่อ ขับรถตรงกลับมาถึงกรุงเทพเลย ถึงบ้านเวลาประมาณตีสองครึ่ง เรียกว่าใช้เวลาเที่ยวไปเกือบครบ 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว

The post เที่ยววันเดียว หัวหิน-ปราณบุรี 24 ชั่วโมงใช้ให้คุ้ม appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2021/12/huahin-pranburi-one-day-trip/feed/ 0 3652
รีวิว BOOX NOVA เครื่องอ่าน e-book หน้าจอ e-ink /2019/04/review-boox-nova-ebook-reader/ /2019/04/review-boox-nova-ebook-reader/#comments Wed, 03 Apr 2019 21:40:12 +0000 /?p=3422 โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างชอบอ่านหนังสือ แต่กลับขี้เกียจที่จะพกหนังสือไปไหนมาไหน เพราะมันหนัก! (อยู่บ้านก็เอาแต่เล่นกับแมว ไม่ได้อ่านหรอกหนังสือน่ะ) เลยคิดว่า เออ ซื้อเครื่องอ่าน e-book สักเครื่องดีกว่า ซึ่งจริงๆ ก็จ้องเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะที่งานหนังสือครั้งก่อน ร้าน Hytexts (น่าจะร่วมมือกับ Meb) ก็ได้มาเปิดบู้ทขายเครื่องอ่าน e-book ที่งานหนังสือด้วย แต่เสียดายว่าตอนนั้นเครื่องต้องพรีออเดอร์ เลยไม่ได้สั่ง (ใจร้อนครับ อยากได้เลย) แต่งานหนังสือคราวนี้เขามีเครื่องพร้อมขายแล้ว เลยจัด BOOX NOVA มาเครื่องหนึ่ง สนนราคาที่ 10,490 บาท (ร้านมีโปรผ่อน 0% 4 เดือนกับทางซิติแบงก์, กรุงเทพ, กรุงศรี, และกรุงไทยอยู่นะ ใครไม่ทันงานหนังสือหรือไม่สะดวกไป ก็ซื้อผ่านเว็บ Hytexts ได้เหมือนกัน มีโปรผ่อนเหมือนกัน) ซื้อมาใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา วันนี้เลยถือโอกาสมารีวิวให้อ่านกัน อ้อ ถ้ารอได้และไม่ต้องการประกันไทย สามารถสั่งจาก AliExpress ได้ในราคาประมาณ 8,500 – 9,500 บาท …

The post รีวิว BOOX NOVA เครื่องอ่าน e-book หน้าจอ e-ink appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
โดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างชอบอ่านหนังสือ แต่กลับขี้เกียจที่จะพกหนังสือไปไหนมาไหน เพราะมันหนัก! (อยู่บ้านก็เอาแต่เล่นกับแมว ไม่ได้อ่านหรอกหนังสือน่ะ) เลยคิดว่า เออ ซื้อเครื่องอ่าน e-book สักเครื่องดีกว่า ซึ่งจริงๆ ก็จ้องเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะที่งานหนังสือครั้งก่อน ร้าน Hytexts (น่าจะร่วมมือกับ Meb) ก็ได้มาเปิดบู้ทขายเครื่องอ่าน e-book ที่งานหนังสือด้วย แต่เสียดายว่าตอนนั้นเครื่องต้องพรีออเดอร์ เลยไม่ได้สั่ง (ใจร้อนครับ อยากได้เลย)

แต่งานหนังสือคราวนี้เขามีเครื่องพร้อมขายแล้ว เลยจัด BOOX NOVA มาเครื่องหนึ่ง สนนราคาที่ 10,490 บาท (ร้านมีโปรผ่อน 0% 4 เดือนกับทางซิติแบงก์, กรุงเทพ, กรุงศรี, และกรุงไทยอยู่นะ ใครไม่ทันงานหนังสือหรือไม่สะดวกไป ก็ซื้อผ่านเว็บ Hytexts ได้เหมือนกัน มีโปรผ่อนเหมือนกัน) ซื้อมาใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา วันนี้เลยถือโอกาสมารีวิวให้อ่านกัน

อ้อ ถ้ารอได้และไม่ต้องการประกันไทย สามารถสั่งจาก AliExpress ได้ในราคาประมาณ 8,500 – 9,500 บาท

สเป็คเครื่อง

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ BOOX NOVA ต่างกับ e-reader ชื่อดังอย่าง Kindle ของ Amazon คือไส้ในมันจริงๆ แล้วเป็นแอนดรอยด์ ทำให้เราสามารถลงแอพของร้านต่างๆ เพิ่มได้ด้วย (Kindle จะอ่านได้เฉพาะหนังสือที่ซื้อจาก Kindle หรือพวกที่ได้มาเป็นไฟล์และไม่ติด DRM เท่านั้น ดังนั้นใครซื้อจากร้านที่ติด DRM อย่าง Meb หรือ Google Play Books ก็หมดสิทธิ์)

  • Android 6.0.1 ปรับแต่งมาสำหรับเครื่องอ่าน e-book โดยเฉพาะ
  • ซีพียู 4 คอร์ 1.6 GHz
  • แรม 2GB (เหลือเฟือสำหรับการอ่านหนังสือ)
  • พื้นที่ 32GB ใส่เม็มไม่ได้
  • แบต 2800 mAh (อ่านมาสามวันแล้วยังไม่หมดเลย)
  • มี Bluetooth และ Wifi ในตัว ต่อเน็ตเปิดเว็บได้ แต่ไม่เวิร์กเท่าไหร่
  • จอ e-ink ขนาด 7.8 นิ้ว ความละเอียด 1404×1872 ที่ 300DPI (เท่ากับที่ใช้ปรินท์นิตยสาร) แสดงผลเป็นขาวดำ 16 ระดับ
  • ชาร์จและเชื่อมต่อกับคอมผ่านพอร์ต USB-C (ไม่รองรับ fast charge)
  • ปุ่มด้านล่างเป็นปุ่ม Back ไม่ใช่ปุ่ม Home

ถ้าเทียบแค่สเป็คต่อราคา แถมเป็นขาวดำอีกต่างหาก ดูยังไงก็คงไม่คุ้ม และแท็บเล็ตปกติอาจจะคุ้มค่ากว่า แต่เอาจริงๆ แล้ว e-reader แบบนี้มีข้อได้เปรียบแท็บเล็ตธรรมดาอยู่หลายข้อที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเงินที่ต้องจ่าย โดยเฉพาะเรื่องหน้าจอ (เดี๋ยวลองเลื่อนไปดูข้างล่างครับ)

แกะกล่อง

กล่อง BOOX NOVA นี่ถือว่าดูดีมาก ดูแพง (ว่าไปมันก็แพงจริงๆ) และแถมเคสมาให้ด้วยอีกชิ้นนึง ซึ่งดูแล้วเคสน่าจะไว้ใช้กับ BOOX NOVA PRO ได้ด้วย เพราะมีช่องเสียบปากกา

ตัวกล่องเป็นกระดาษแข็งเคลือบด้าน ดึงออกแล้วจะเจอกล่องจริงที่เป็นกระดาษแข็งเคลือบด้านเหมือนกันอีกชั้นหนึ่ง ข้างในกล่องมีแค่ตัวเครื่อง สายชาร์จ (ไม่มีหัวชาร์จมาให้นะ มีแต่สาย USB-C) และคู่มือภาษาอังกฤษ/จีน (ภาษาไทยทางร้านมีแจกแยกให้) ตัวเครื่องก็ห่อพลาสติกไว้อีกชั้นหนึ่ง

ซอฟต์แวร์ภายในเครื่อง

ทางร้านบอกว่าเปิดเครื่องมาให้ทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะสามารถเปิดใช้งาน Google Play ได้ ทั้งนี้การเปิด Google Play จะมีขั้นตอนเพิ่มเติมนิดหน่อย อ่านตามจากคู่มือได้เลย

ตัวเครื่องมันเองนั้นมาพร้อมกับโปรแกรมอ่าน e-book ในตัวอยู่แล้ว (แหงล่ะ) และมาพร้อมกับร้านขาย e-book ของ JD ซึ่งส่วนมากก็เป็น e-book ภาษาจีน ดังนั้น ปิดทิ้งครับ โดยเราจะสามารถปิดร้านของ JD ทิ้งได้ผ่านหน้า Settings (แต่เมนูจะยังอยู่ ลบออกไม่ได้)

โปรแกรมอ่าน e-book ที่มากับเครื่องนั้นสามารถอ่านไฟล์ที่ไม่ติด DRM ได้ค่อนข้างครบครัน ทั้งไฟล์ .mobi .epub หรือ .pdf (และอื่นๆ อีกเพียบ) สามารถแบ่งหนังสือเป็นโฟลเดอร์ได้

ใครที่เคยใช้ e-reader ของ Onyx รุ่นอื่นมาก่อน เช่น BOOX Carta จะจำได้ว่าตัว Neo Reader ที่มากับเครื่องนั้นสามารถอ่าน e-book ที่ติด DRM ของ Adobe Digital Editions ได้ด้วย แต่ Neo Reader ใน BOOX NOVA นี้จะไม่สามารถอ่านไฟล์ที่ติด DRM ของ ADE ได้อีกแล้ว ถ้าต้องการอ่านไฟล์ที่ติด DRM ของ ADE (เช่นไฟล์ที่ซื้อจาก Hytexts เอง หรือที่ดาวน์โหลดมาจาก Google Play Books) จะต้องติดตั้งโปรแกรม Adobe Digital Editions จาก Play Store ก่อน

ในด้านฟีเจอร์การอ่านก็มีค่อนข้างครบ คือมีสารบัญ เลือกหน้าได้ คั่นหน้าได้ พิมพ์โน้ตได้ ปรับขนาดตัวหนังสือ ระยะห่างบรรทัด ระยะห่างย่อหน้า ระยะขอบ ได้หมด สามารถทำ text-reflow ได้อย่างสวยงาม (ทั้งนี้ยังไม่ได้ลองกับ e-book ภาษาไทย แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร) มีพจนานุกรมในตัว

วิธีเปิดเมนูคือกดไปตรงกลางหน้าจอ (ไม่ปัดนะ) ส่วนมุมจอทั้งสี่เราสามารถตั้งใน Settings ของแอพได้ว่าจะให้มันทำอะไรบ้าง

ฟีเจอร์อย่างนึงที่ผมค่อนข้างชอบคือไฟ front light (เป็นไฟให้ความสว่างเฉยๆ ถ้าเข้าใจไม่ผิดไฟ front light จะฉายออกมาจากขอบจอ) ที่สามารถปรับสีโทนอุ่นโทนเย็นแยกจากกันได้ด้วย

ตรงนี้คือดีมากโดยเฉพาะคนชอบเอามานอนอ่านก่อนนอน สามารถปรับแสดงให้สบายตาได้อย่างง่ายดาย

สำหรับใครที่จะเอามาเปิดเว็บ หรือใช้งานแอพต่างๆ (เตือนตรงนี้ว่ามันไม่ได้เรื่องเลย) ก็สามารถกดเปิดโหมด A2 เพื่อลดความละเอียดจอได้ ซึ่งจะช่วยให้จอตอบสนองเร็วขึ้น และ refresh จอน้อยลง

สำหรับร้าน e-book ที่ลงเพิ่มมี 3 ร้านด้วยกันคือ

  1. Meb: E-Reader
  2. Google Play Books
  3. Amazon Kindle

ไล่กันเป็นตัวๆ ไป เริ่มจาก Meb: E-Reader เป็นแอพของร้าน Meb ที่ออกมาสำหรับเครื่องอ่าน e-book ที่ใช้จอ e-ink โดยเฉพาะ ตัดเอ็ฟเฟ็กท์วูบวาบออกไป (ไม่งั้นมันแสดงผลไม่ทัน) ปุ่มกดอะไรใหญ่โตกดถนัด เสียอย่างเดียวว่าซื้อหนังสือผ่านแอพนี้ไม่ได้ ต้องไปกดซื้อในแอพเวอร์ชันเต็มแล้วซิงก์มาอ่านเอาเอง

จริงๆ Hytexts เองก็มีแอพสำหรับ e-reader ด้วย แต่ผมไม่ค่อยได้ซื้อหนังสือจาก Hytexts เท่าไหร่ เว็บเขาช้ามาก

ตัวต่อมาคือ Google Play Books ว่ากันจริงๆ แอพนี้ยังไม่ได้ใช้จริงๆ จังๆ เพราะเคยซื้อไว้แค่เล่มเดียว (คอลเล็คชัน Ender’s Game รวม 5 เล่ม มัดรวมอยู่ในเล่มเดียวเกือบสองพันหน้า) ตัวแอพนี้จริงๆ น่าจะออกแบบมาสำหรับแท็บเล็ตจอปกติ แต่สามารถเอามาอ่านบนจอ e-ink ได้ดีในระดับหนึ่ง เท่าที่ลองดูยังไม่เจอปัญหาแอพงงระหว่างแตะและปัดเปลี่ยนหน้า (เจอใน Kindle) เรื่องหนึ่งที่ควรบอกไว้คือการซูมแบบถ่างจอของมัน จะเป็นการซูมหน้าเข้าไปตรงๆ เหมือนซูมรูป ไม่ใช่การปรับขนาดฟอนต์แบบในแอพอื่น

และตัวสุดท้ายคือ Amazon Kindle แอพที่เจนสนามที่สุดแต่ออกมาพังที่สุด แอพทำงานค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับตัวอื่น และปัญหาที่สุดของมันคือการเปลี่ยนหน้า ที่บางทีกดเปลี่ยนหน้าแบบแตะจอแล้วแอพเข้าใจว่าเป็นการปัด (แล้วมันก็ปัดไปให้แค่ครึ่งหน้า) หรือบางทีกดเปลี่ยนหน้าไปแล้วมันโหลดข้ามหน้าไปก็มี สรุปแล้วผมใช้ Calibre แปลงไฟล์ Kindle ออกไปเป็น ePub แล้วเอาไปอ่านกับตัวอ่านของเครื่องเข้าท่าที่สุด

อ่านบนจอ e-ink เป็นอย่างไรบ้าง

จริงๆ หลายปีก่อนผมเคยซื้อแท็บเล็ตมาตัวหนึ่ง กะจะเอาไว้อ่านหนังสือนี่แหละ แต่พอเอามาใช้จริงแล้วพบว่าไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ เพราะการจ้องจอแบบนั้นไปนานๆ จะทำให้ปวดตาและแสบตา จะเอาไปอ่านขณะอยู่บนรถก็ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะทำให้เมารถ เวียนหัวและคลื่นไส้ แถมแสงจากจอยังรบกวนคนอื่นอีกต่างหาก ซึ่งสุดท้ายแท็บเล็ตตัวนี้เหลือเอาไว้แค่เพื่ออ่านคอมมิคฝรั่งที่เป็นภาพสีเท่านั้น และได้ใช้แค่เฉพาะตอนอยู่บ้าน

แต่สำหรับ BOOX Nova ที่มีหน้าจอ e-ink นั้น ผมตอบสั้นๆ แบบกำปั้นทุบดินเลยคือสุดยอดมาก ความรู้สึกจะต่างจากอ่านบนจอปกติโดยสิ้นเชิง อ่านบนรถได้โดยไม่เวียนหัว แสงจอไม่แสบตา องศาการอ่านกว้างเหมือนกระดาษจริง เม็ดสีบนจอเป็นเม็ดสีจริง ไม่ใช่การผสมแสงแบบจอทั่วไป ดังนั้นเอาไปนั่งอ่านกลางแจ้งได้สบายมาก

ข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งเลยก็คือหน้าจอของ BOOX NOVA นั้นมีความละเอียดสูงถึง 300DPI ระดับเดียวกับที่ใช้พิมพ์หนังสือหรือนิตยสารจริงๆ ทำให้ตัวหนังสือบนจอนั้นคมชัดเหมือนกับอ่านจากกระดาษจริงด้วย

ใครยังนึกไม่ออก สามารถลองไปเดินดูตาม B2S ได้เลย หลายๆ สาขามีเครื่องให้ลอง (เห็นจอเหมือนของ mock แบบนั้น ของจริงนะ) ส่วนถ้าใครไม่สะดวกไป ให้นึกถึงพวกมือถือหรือแท็บเล็ตปลอมที่ตั้งโชว์ตามตู้ ที่มันจะพิมพ์ภาพหน้าจอออกมาแล้วใส่เอาไว้ในตัวเครื่องเปล่า ความรู้สึกมันแบบนั้นเลย เหมือนกำลังอ่านอยู่บนวัสดุจริง (ส่วนตัวว่ามันไม่เหมือนกระดาษหนังสือเสียทีเดียว ออกแนวเหมือนพลาสติกหรือกระดาษเคลือบมากกว่า)

โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าใครชอบอ่านหนังสือ อยากพกไปอ่านขณะอยู่นอกบ้าน แต่ไม่ชอบ e-book เพราะอ่านบนจอแล้วปวดตา หรือขี้เกียจพกหนังสือเพราะมันหนัก อันนี้แนะนำมากๆ ว่าให้ซื้อเครื่องอ่าน e-book ติดตัวไว้เลยสักเครื่องครับ ชีวิตดีแน่นอน

และสุดท้ายคือใครที่จะเอาไปใช้เหมือนเป็นแท็บเล็ตปกติ ลงแอพเปิดเว็บดูวิดีโอ เตือนไว้ก่อนเลยว่าอย่าหาทำครับ ไม่เวิร์กมากๆ

ซื้อ ebook

ว่ากันจริงๆ ราคาปกติของ e-book นั้นก็ไม่ได้ถูกกว่าแบบเล่มสักเท่าไหร่ (บางเล่มที่ e-book แพงกว่าเล่มจริงก็เคยเจอ) ดังนั้นถ้าเน้นคุ้มค่าแนะนำให้ลองเช็คราคาดีๆ ก่อนในหลายๆ ร้าน ทั้งนี้เราก็มีโอกาสเจอหนังสือลดราคาบ่อยกว่าแบบเล่มด้วยเช่นกัน อย่าง Leviathan wakes นี่ราคาเต็ม 300 กว่าบาท ก็ได้มาตอนลดราคาเหลือประมาณร้อยเดียวเท่านั้น

สำหรับร้าน Meb นั้น ถ้าใครถือบัตร The 1 ของเครือเซ็นทรัล หนังสือส่วนมากสามารถไปซื้อเอาจาก The 1 Book แทนได้ โดยเราสามารถล็อกอินด้วยบัญชี Meb ได้เลย และหนังสือที่ซื้อก็จะไปโผล่ใน Meb สามารถใช้แอพของ Meb ดาวน์โหลดหนังสือมาอ่านได้ตามปกติ แต่ The 1 Book จะมีข้อได้เปรียบอยู่นิดหน่อยตรงที่เวลาซื้อเราจะได้แต้ม The 1 ด้วย (ต้องผูกกับบัตร The 1 ก่อน) และสามารถใช้แต้ม The 1 แลกหนังสือมาอ่านก็ได้เช่นกัน ส่วนหนังสือนั้นเท่าที่เห็นหลายคนบอกกันคือ The 1 Book จะมีหนังสือเกือบทั้งหมดของ Meb แต่อาจจะมีบางเล่มที่ไม่ลงหรือลงช้ากว่า แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนน้อย

ทั้งนี้การจะซื้อหนังสือจากร้านอื่นนอกเหนือจาก Meb, The 1 Book, Hytexts, และ Kindle อาจจะเสียความสะดวกในการอ่านไปเล็กน้อย เพราะร้านส่วนใหญ่จะขายหนังสือที่ติด Adobe DRM ที่ต้องใช้แอพ Adobe Digital Edition ในการอ่าน โดยแม้ว่าแอพ ADE จะทำงานได้ดีระดับหนึ่งบนจอ e-ink แต่ก็ยังรู้สึกไม่สะดวกเท่ากับแอพที่ออกแบบมาเพื่อจอ e-ink จริงๆ อย่างเช่นตัวอ่านของเครื่อง หรือแอพของ Meb/Hytexts (จริงๆ จะเลือกซื้อเฉพาะเล่มที่เป็น DRM-Free ก็ได้ สามารถดาวน์โหลด EPUB มายัดลงเครื่องได้เลย อย่างรวม Ender’s Game ที่ผมซื้อมาจาก Google Play ก็เป็น DRM-Free)

สำหรับคนที่ซื้อหนังสือจาก Kindle เราสามารถใช้โปรแกรม Calibre และปลั๊กอิน DeDRM ในการถอด DRM ของ Kindle แล้วแปลงเป็น EPUB จากนั้นก็สามารถเอาไปอ่านด้วยแอพของเครื่องได้เลย

ส่วน ebook ที่เป็นไฟล์ PDF นั้นสามารถอ่านได้เช่นกัน แต่ไฟล์ PDF ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับการ reflow ข้อความ ดังนั้นถ้าเป็นไฟล์ที่หน้าใหญ่มากๆ อาจจะไม่สะดวกในการอ่านสักเท่าไหร่ เพราะต้องคอยซูมเข้าซูมออกและเลื่อนไปมา ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดมากๆ บนจอ e-ink

The post รีวิว BOOX NOVA เครื่องอ่าน e-book หน้าจอ e-ink appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2019/04/review-boox-nova-ebook-reader/feed/ 16 3422
แชร์ประสบการณ์มีบัตรเครดิตใบแรก /2018/08/my-first-credit-card/ /2018/08/my-first-credit-card/#respond Mon, 06 Aug 2018 15:30:38 +0000 /?p=3215 อาทิตย์ที่แล้วเห็นมีประเด็นเรื่องบัตรเครดิตใบแรกโผล่เข้ามาในฟีดทวิตเตอร์  ซึ่งความเห็นก็แตกออกไปทั้งในแง่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการมีบัตรเครดิต (โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเรียนจบและกำลังเริ่มชีวิตมนุษย์เงินเดือนใหม่ๆ) วันนี้เลยอยากเขียนแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับบัตรเครดิตใบแรก (และใบเดียว) ที่ใช้อยู่ในตอนนี้สักหน่อย หากพูดถึงบัตรเครดิต  สิ่งแรกๆ ที่นึกถึงกันน่าจะเป็นเรื่องของ “หนี้” บัตรเครดิต  ที่ทำให้หลายคนถึงกับต้องขายบ้านขายรถเพื่อใช้หนี้บัตรเครดิตเหล่านี้กันเลยทีเดียว  แต่เอาจริงๆ แล้วบัตรเครดิตถ้าใช้แบบมีวินัยสักหน่อย  มันก็จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเลย  เช่น ของตอบแทนต่างๆ ไม่ว่าจะสะสมแต้มแลกของสมนาคุณ, สะสมไมล์สายการบิน, หรือเครดิตเงินคืน โปรโมชันร่วมกับร้านค้าต่างๆ เช่นส่วนลดพิเศษ โปรโมชันผ่อนสินค้าดอกเบี้ย 0% ประกันคุ้มครองการเดินทาง ฯลฯ แล้วแต่บัตร เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมทำงาน Freelance เป็นหลัก  ทำให้การสมัครบัตรเครดิตนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก  ทำให้เวลาจะซื้อของใดๆ ต้องจ่ายด้วยเงินสดก้อนโตแทน (ซื้อโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่อง  เงินหายไปจากบัญชี 45k นี่ก็เป๋เหมือนกันนะ) แต่ตอนนี้ย้ายมาทำงานประจำได้สักพักหนึ่งแล้วเลยตัดสินใจว่าสมัครบัตรเครดิตไว้สักใบดีกว่า  เพื่อใช้กระจายความเสี่ยงตรงนี้ บัตรเครดิตใบแรก หลังจากส่องเว็บเปรียบเทียบบัตรเครดิตเรียบร้อย (ขอบคุณ GoBear.com มา ณ ที่นี้) จึงตัดสินใจได้ว่าบัตรประเภทที่เหมาะกับเราที่สุดคือบัตรประเภทเครดิตเงินคืน  เพราะเน้นใช้จ่ายทั่วไปเป็นหลัก  และสรุปออกมาได้ว่าบัตรที่เลือกคือ Citi Cashback Platinum ซึ่งมันมีคุณสมบัติประมาณนี้ คืนเงิน 1% ทุกยอด คืนเงิน …

The post แชร์ประสบการณ์มีบัตรเครดิตใบแรก appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
อาทิตย์ที่แล้วเห็นมีประเด็นเรื่องบัตรเครดิตใบแรกโผล่เข้ามาในฟีดทวิตเตอร์  ซึ่งความเห็นก็แตกออกไปทั้งในแง่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการมีบัตรเครดิต (โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเรียนจบและกำลังเริ่มชีวิตมนุษย์เงินเดือนใหม่ๆ) วันนี้เลยอยากเขียนแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับบัตรเครดิตใบแรก (และใบเดียว) ที่ใช้อยู่ในตอนนี้สักหน่อย

หากพูดถึงบัตรเครดิต  สิ่งแรกๆ ที่นึกถึงกันน่าจะเป็นเรื่องของ “หนี้” บัตรเครดิต  ที่ทำให้หลายคนถึงกับต้องขายบ้านขายรถเพื่อใช้หนี้บัตรเครดิตเหล่านี้กันเลยทีเดียว  แต่เอาจริงๆ แล้วบัตรเครดิตถ้าใช้แบบมีวินัยสักหน่อย  มันก็จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเลย  เช่น

  • ของตอบแทนต่างๆ ไม่ว่าจะสะสมแต้มแลกของสมนาคุณ, สะสมไมล์สายการบิน, หรือเครดิตเงินคืน
  • โปรโมชันร่วมกับร้านค้าต่างๆ เช่นส่วนลดพิเศษ
  • โปรโมชันผ่อนสินค้าดอกเบี้ย 0%
  • ประกันคุ้มครองการเดินทาง
  • ฯลฯ แล้วแต่บัตร

เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมทำงาน Freelance เป็นหลัก  ทำให้การสมัครบัตรเครดิตนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก  ทำให้เวลาจะซื้อของใดๆ ต้องจ่ายด้วยเงินสดก้อนโตแทน (ซื้อโน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่อง  เงินหายไปจากบัญชี 45k นี่ก็เป๋เหมือนกันนะ) แต่ตอนนี้ย้ายมาทำงานประจำได้สักพักหนึ่งแล้วเลยตัดสินใจว่าสมัครบัตรเครดิตไว้สักใบดีกว่า  เพื่อใช้กระจายความเสี่ยงตรงนี้

บัตรเครดิตใบแรก

หลังจากส่องเว็บเปรียบเทียบบัตรเครดิตเรียบร้อย (ขอบคุณ GoBear.com มา ณ ที่นี้) จึงตัดสินใจได้ว่าบัตรประเภทที่เหมาะกับเราที่สุดคือบัตรประเภทเครดิตเงินคืน  เพราะเน้นใช้จ่ายทั่วไปเป็นหลัก  และสรุปออกมาได้ว่าบัตรที่เลือกคือ Citi Cashback Platinum ซึ่งมันมีคุณสมบัติประมาณนี้

  • คืนเงิน 1% ทุกยอด
  • คืนเงิน 5% เมื่อซื้อของร้าน Boots หรือ Watsons หรือจ่าย Grab
  • คืนเงิน 11% เมื่อเติมบัตรรถไฟฟ้า BTS/MRT (ARL ไม่ได้คืน) – จริงๆ ตอนๆ สมัครเป็นคืน 5% แต่สมัครได้เดือนเดียวก็ปรับเปอร์เซ็นต์เป็น 11% ตามโปรใหม่
  • มีประกันการเดินทางแถมให้  ถ้าจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินด้วยบัตร
  • Citi Bank มีบริการ PayLite ผ่อนสินค้า 0% นานสูงสุด 10 เดือน  ซึ่งครอบคลุมร้าน IT หลายราย  ทั้ง IT Mall, JIB, และ Apple
  • ใช้เกิน 60,000 บาทต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียม (ในความเป็นจริงถ้าไม่ถึงก็โทรไปขอเว้นได้)

เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท  ทำงานอย่างน้อย 3 เดือน  เกณฑ์ผ่าน  สมัครเรียบร้อย  ผ่าน  ได้บัตรมาแล้ว

ใช้บัตรไม่ให้เป็นหนี้

มายาคติอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเป็นหนี้บัตรเครดิต  คือการใช้บัตรเกินกำลังจ่าย  โดยคิดว่าวงเงินในบัตรเป็นส่วนต่อขยายของเงินเดือนเดือนนี้  เดี๋ยวพอเงินออกก็ค่อยเอามาจ่าย

Unlimited Power

แต่จริงๆ เงินในอนาคตเป็นอะไรที่ไม่ได้มีความแน่นอนเลย  เราอาจจะคิดว่าเงินเดือนเราเท่านี้ แบ่งมาจ่ายเท่านี้ยังเหลือใช้สบายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมักจะมีเรื่องมาให้เสียเงินจนเงินไม่พออยู่เรื่อยๆ หรือบางทีอาจจะคิดว่าถ้าไม่พอก็จ่ายขั้นต่ำเอาก่อน ซึ่งก็จะทำให้ยอดใช้จ่ายนั้นๆ ถูกเอาไปคิดดอกเบี้ยพอกขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นหนี้บัตรเครดิต

burn

หากลองค้นดูจะพบว่าทุกคนบอกเหมือนกันคือ

  1. อย่าใช้บัตรเกินเงินสดที่มี
  2. จ่ายบิลบัตรให้ตรงเวลา
  3. จ่ายเต็มจำนวนเท่านั้น ห้ามจ่ายขั้นต่ำ

ส่วนตัวผมอยากเพิ่มให้อีกสองข้อคือ 1.) กรณีเดียวที่จะใช้เงินเกินเงินสดที่มีคือกรณีฉุกเฉิน  เช่นสำรองจ่ายเมื่อเข้าโรงพยาบาล  หรือต้องซื้อเครื่องมือทำมาหากินใหม่  2.) เมื่อจะผ่อนอะไรสักอย่างด้วยบัตรเครดิต  ควรมีเงินสดสำรองไว้ครึ่งหนึ่ง  หรืออย่างน้อยหนึ่งในสามของยอดที่จะผ่อน 

เคยมีคนแนะนำผมว่าเวลาจะซื้อของให้เราเก็บเงินให้ได้ 100% ของราคาสินค้า  จากนั้นใช้บัตรเครดิตผ่อน 0% แทน  ส่วนเงินที่เก็บได้นั้นให้เอาไปลงทุนระยะสั้น ซึ่งผลกำไรที่จะได้จากการลงทุนนี้จะถือว่าเป็นส่วนลดค่าสินค้าไปได้ในตัว

ข้อควรระวังอีกอย่างคืออย่าหลงโปรต่างๆ โดยไม่จำเป็น  เช่นโปรทานครบ 1,000 บาทได้ลด 10% (หักลบแล้วเหลือ 900) ถ้าปกติเราทานไม่ถึง  ก็ไม่ต้องไปสั่งให้ครบ 1,000 บาทเนอะ ???? (ทั้งนี้นานๆ ทีจะเอาบ้างก็ไม่ว่ากัน  อย่าไปสอยทุกโปรก็พอ)

เทคนิคบริหารเงินเล็กๆ น้อยๆ

ตรงนี้มาจากการที่เรารู้ตัวว่าเป็นคนที่มีนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่เมื่อเห็นมีเงินเหลือเยอะ  ก็จะใช้เงินเยอะขึ้นตามไปด้วย  ดังนั้นเลยต้องหาวิธีให้เราเห็นเงินตามที่ใช้ไปจริงๆ ใช้เท่าไหร่ก็ลดหายไปเท่านั้นจริงๆ  ไม่อย่างนั้นรูดเพลินแน่นอน

วิธีที่ผมใช้คือไปเปิดบัญชีธนาคารอีกธนาคารหนึ่ง  โดยเปิดเป็นบัญชีเปล่าๆ ไม่ต้องทำบัตร ATM แล้วติดตั้งแอพแบงก์ลงในมือถือ  ในกรณีนี้ผมไปเปิดบัญชีกรุงศรี  เพราะแอพหน้าตามันน่าใช้ดี  จากนั้นเมื่อมีการรูดจ่ายไปเท่าไหร่  ก็จะกดโอนเงินจากบัญชีหลักเข้าไปเก็บในบัญชีกรุงศรีทันทีตามจำนวนที่จ่ายไป (แรกๆ อาจจะไม่ชิน  แต่ทำไปสักพักๆ มันจะอัตโนมัติขึ้นมาเอง)

ที่ทำอย่างนี้ว่าเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาครับ  เพราะเมื่อเราเห็นเงินลดลงไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มรู้สึกว่าเงินใกล้หมดแล้วนะ  ก็จะช่วยชะลอการใช้เงินลงได้  ช่วยประหยัดและช่วยตั้งสติก่อนที่จะควักเงินจ่ายอะไรออกไป

เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าบัตรเครดิต  ผมจะเอาสเตทเมนต์ของบัตรเครดิตมาตรวจดูอีกครั้งกับยอดโอนออกจากบัญชีหลัก  และยอดโอนเข้าของแบงก์กรุงศรีว่ายอดตรงกันหรือไม่  เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้วจึงค่อยกดจ่ายเงิน (ธ.กรุงศรีสามารถจ่ายบัตรซิติแบงก์ได้ฟรี  ซึ่งจริงๆ น่าจะฟรีทุกแบงก์อยู่แล้ว  เพราะซิติแบงก์จ่ายผ่านพร้อมเพย์ได้)

ด้วยความที่บัตรเครดิตใบนี้ให้เงินคืน 1% ในทุกยอดที่รูด  ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่สามารถจ่ายได้ด้วยบัตรเครดิตก็จะใช้บัตรเครดิตจ่าย (ทั้งนี้อย่าไปหลงจ่ายร้านที่ชาร์จเพิ่ม 3% ล่ะ  ไม่คุ้ม  และถ้าเจอร้านไหนชาร์จเพิ่มให้โทรฟ้องแบงก์ให้มายึดเครื่องรูดได้เลย  เพราะแบงก์จะห้ามร้านชาร์จลูกค้าเพิ่มอยู่แล้ว) นั้นเท่ากับว่าเราจะได้ส่วนลด 1% ในทุกๆ ยอด  ซึ่งเงื่อนไขของบัตรใบนี้จะคืนเงินให้ช่วงวันสรุปยอด  โดยจะคืนมาทีละ 100 บาท

การจ่ายทุกอย่างด้วยบัตรเครดิตอาจจะทำให้ยอดดูน่าตกใจนิดหน่อย (อาจจะเด้งไปได้ถึงสองหมื่น) แต่ยอดเงินคืนก็ถือว่ามาเป็นส่วนลดค่าเน็ตค่าโทรศัพท์ไปที่สำคัญที่สุดคือต้องรักษาวินัยการเงินแบบนี้ให้ได้ตลอดด้วย

จริงๆ แล้วนอกจากบัญชีสำหรับพักเงินค่าบัตรเครดิต  ผมยังมีอีกบัญชีเอาไว้สำหรับเงินใช้แต่ละสัปดาห์ด้วย  โดยตอนนี้บัญชีหลักผมมี 3 บัญชี คือ

  • ธ.กรุงเทพ  บัญชีเงินเดือน (ไม่มีบัตร)
  • ธ.กรุงศรี  บัญชีพักเงินบัตรเครดิต (ไม่มีบัตร)
  • ธ.กสิกร  บัญชีเงินรายสัปดาห์ (มีบัตร)

โดยในแต่ละสัปดาห์ผมจะโอนเงินจาก ธ.กรุงเทพ เข้าไปยัง ธ.กสิกร อาทิตย์ละ 3,000 – 3,500 บาท (บางอาทิตย์ก็ 4,000 ถ้ามีแววต้องใช้เยอะ) ซึ่งก็ช่วยคุมค่าใช้จ่ายได้ดีระดับหนึ่งด้วยเหตุผลด้านจิตวิทยาเหมือนกันคือพอเห็นเงินที่กดได้เหลือน้อย  มันก็จะใช้น้อยลงตามไป

เครดิตบูโร

มีคนเคยบอกผมว่าการมีประวัติชำระหนี้ที่ดี  มีผลบวกกับเครดิตมากกว่าการไม่มีประวัติหนี้เลย  ซึ่งจะทำให้การขอสินเชื่อต่างๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้น  ดังนั้นแล้วการที่ย้ายค่าใช้จ่ายต่างๆ มาลงที่บัตรเครดิต  ติดตามยอดใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด  ชำระเต็มจำนวนและตรงเวลา  จะทำให้ประวัติของเราดูเป็นบวกมากขึ้นด้วย

อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่านะ

สรุป

ทั้งหมดทั้งปวงแล้ว  ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการใช้เงินใดๆ นั่นคือวินัยทางการเงินครับ  แม้ว่ารายได้คุณจะสูงแต่ถ้าวินัยการเงินคุณไม่ดี  ก็ทำให้ตกที่นั่งลำบากได้อยู่เหมือนกัน

The post แชร์ประสบการณ์มีบัตรเครดิตใบแรก appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2018/08/my-first-credit-card/feed/ 0 3215
จดโดเมนกับ Z.com ประสบการณ์ใหม่จ่ายตังแล้ว ยังต้องรอเป็นวัน /2017/09/z-com-domain-registration/ /2017/09/z-com-domain-registration/#comments Thu, 31 Aug 2017 17:52:18 +0000 /?p=3131 ดูเหมือนว่าผมจะเจอปัญหากับบริการต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ล่าสุดก็ไปเจอกับ Z.com บริการจดโดเมนของ NetDesign เรื่องของเรื่องคือพยายามที่จะจดโดเมน .co โดเมนหนึ่งสำหรับโปรเจ็กท์ใหม่ที่มีแผนจะทำเร็วๆ นี้  ตอนเปิดหาเทียบราคาโดเมนก็เจอ Z.com ซึ่งเบื้องหน้าดูดีมาก  ราคาที่จัดว่าถูกกว่าเจ้าอื่น  และ Control Panel ที่ดูใช้ง่ายสะอาดตา  รองรับ 2-Step Authentication และสำคัญสุดคือจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตได้ (ใช้ระบบจ่ายเงินของ 2C2P) ดังนั้นเลยสั่งจดโดเมนที่ต้องการไปเมื่อประมาณสี่โมงครึ่ง  และจ่ายเงินผ่านบัตรเรียบร้อย  แล้วก็โดนดอกแรกเข้าทันที  เพราะหลังจากจ่ายเงินแล้ว  สถานะออเดอร์ยังค้างอยู่ที่รอการจ่ายเงินประมาณ 10 นาที  ถึงเปลี่ยนเป็น “อยู่ในขั้นตอนการตั้งค่า” แล้วนั่นก็เป็นดอกที่สอง  เพราะตั้งแต่เวลาประมาณห้าโมงจนถึงเที่ยงคืนครึ่ง  โดเมนก็ยังอยู่ในสถานะ “อยู่ในขั้นตอนการตั้งค่า” ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  และที่น่าปวดหัวหนักกว่าเก่าคือเมื่อเอาโดเมนไปเช็คทั้งกับผู้ให้บริการอื่นและกับ Z.com เอง  ยังพบว่าโดเมนนั้นว่างและไม่มีการสั่งจดใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุที่ว่าสั่งจดไปครึ่งวันแล้ว (ครึ่งคืน) แต่โดเมนก็ยังขึ้นเป็น Available อยู่  จึงไปสอบถามกับทางซัพพอร์ต  และพบดอกที่สามเข้า  ว่าถ้าหากโดเมนถูกแย่งจดไปในระหว่างนี้  คำสั่งจดโดเมนบน Z.com จะเด้ง  แล้วเงินจะเด้งกลับเข้าบัญชีผู้ใช้บน …

The post จดโดเมนกับ Z.com ประสบการณ์ใหม่จ่ายตังแล้ว ยังต้องรอเป็นวัน appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ดูเหมือนว่าผมจะเจอปัญหากับบริการต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ล่าสุดก็ไปเจอกับ Z.com บริการจดโดเมนของ NetDesign

เรื่องของเรื่องคือพยายามที่จะจดโดเมน .co โดเมนหนึ่งสำหรับโปรเจ็กท์ใหม่ที่มีแผนจะทำเร็วๆ นี้  ตอนเปิดหาเทียบราคาโดเมนก็เจอ Z.com ซึ่งเบื้องหน้าดูดีมาก  ราคาที่จัดว่าถูกกว่าเจ้าอื่น  และ Control Panel ที่ดูใช้ง่ายสะอาดตา  รองรับ 2-Step Authentication และสำคัญสุดคือจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตได้ (ใช้ระบบจ่ายเงินของ 2C2P)

ดังนั้นเลยสั่งจดโดเมนที่ต้องการไปเมื่อประมาณสี่โมงครึ่ง  และจ่ายเงินผ่านบัตรเรียบร้อย  แล้วก็โดนดอกแรกเข้าทันที  เพราะหลังจากจ่ายเงินแล้ว  สถานะออเดอร์ยังค้างอยู่ที่รอการจ่ายเงินประมาณ 10 นาที  ถึงเปลี่ยนเป็น “อยู่ในขั้นตอนการตั้งค่า”

แล้วนั่นก็เป็นดอกที่สอง  เพราะตั้งแต่เวลาประมาณห้าโมงจนถึงเที่ยงคืนครึ่ง  โดเมนก็ยังอยู่ในสถานะ “อยู่ในขั้นตอนการตั้งค่า” ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  และที่น่าปวดหัวหนักกว่าเก่าคือเมื่อเอาโดเมนไปเช็คทั้งกับผู้ให้บริการอื่นและกับ Z.com เอง  ยังพบว่าโดเมนนั้นว่างและไม่มีการสั่งจดใดๆ ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุที่ว่าสั่งจดไปครึ่งวันแล้ว (ครึ่งคืน) แต่โดเมนก็ยังขึ้นเป็น Available อยู่  จึงไปสอบถามกับทางซัพพอร์ต  และพบดอกที่สามเข้า  ว่าถ้าหากโดเมนถูกแย่งจดไปในระหว่างนี้  คำสั่งจดโดเมนบน Z.com จะเด้ง  แล้วเงินจะเด้งกลับเข้าบัญชีผู้ใช้บน Z.com ไม่ได้เป็นการรีฟันด์กลับหาผู้ซื้อแต่อย่างใด  และซัพพอร์ตให้ติดต่อกับฝ่ายขายเอาเองในเรื่องคืนเงิน (ถึงตอนนี้ผมเริ่มหัวร้อน  และค่อนข้าง Aggressive แล้ว  ฮ่าๆๆ – นิสัยไม่ดี อย่าทำตามนะครับ)

Z.com Support

คิดว่ายังอยากจะจดโดเมนกับ Z.com อยู่อีกเหรอ?

โดยปกติแล้วพอจดโดเมน  เมื่อสั่งจ่ายเงินแล้วยืนยันเสร็จ  ก็จะสามารถใช้งานได้เลยในเวลาประมาณ 30 นาที  ทางซัพพอร์ตแจ้งว่าโดเมนต้องใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมงถึงจะใช้งานได้ (ซัพพอร์ตบอกว่าโดเมน .co ใช้เวลานานกว่าปกติ) ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าโดเมน .co ต้องเอาเรื่องเข้าสภาคองเกรสเพื่ออนุมัติการจดหรืออย่างไร  ถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น

เอาเป็นว่าใครไม่อยากเสี่ยงที่จะต้องรอจดโดเมนเป็นวัน  แถมระหว่างรอก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะมีใครมาแย่งจดโดเมนไปหรือเปล่า  ก็ไปจดกับเจ้าอื่นดีกว่าครับ  อย่าไปเสี่ยงกับ Z.com เลย

ลาก่อย Z.com

12 ชั่วโมงผ่านไป  โดเมนก็ยังไม่ถูกจด  ล่าสุดผมย้ายไปจดกับ DotSiam.com จ่ายเงินเรียบร้อยผ่านบัตร  และได้โดเมนมาเป็นที่เรียบร้อย (ไหนล่ะที่ซัพพอร์ต Z.com บอกว่าโดเมน .co ต้องรอนานหน่อยน่ะ  เหอะ)

ลาก่อย Z.com ชาตินี้อย่าได้ต้องพบพานกันอีกเลย

อนึ่ง  เดี๋ยวพรุ่งนี้ติดต่อฝ่ายขายเรื่อง Refund ใจจริงคือไม่ได้เสียดายเงิน 300 บาทตรงนี้  แต่ไม่อยากให้เงินของเราไปอยู่กับผู้ให้บริการรายนี้แม้สักแดงเดียว  บาย

The post จดโดเมนกับ Z.com ประสบการณ์ใหม่จ่ายตังแล้ว ยังต้องรอเป็นวัน appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2017/09/z-com-domain-registration/feed/ 1 3131
มหากาพย์เปลี่ยนแบตเตอรี่ rMBP 13″ Early 2015 /2017/05/rmbp-13-inches-early-2015-battery-replacement/ /2017/05/rmbp-13-inches-early-2015-battery-replacement/#comments Tue, 02 May 2017 10:55:55 +0000 /?p=3089 โน้ตบุ๊คตัวที่ผมใช้หากินอยู่ทุกวันนี้คือ Macbook Pro Retina 13″ ตัว Early 2015 ซึ่งหลังจากฝ่าฟันปัญหาจอลอกมาแล้วรอบนึง  ก็ตามมาด้วยปัญหาแบตเตอรี่บบวม  ที่บวมป่องออกมาจบปิดฝาพับได้ไม่สนิท  ประมาณนี้ ด้วยความทุเรศทุรังจากอาการบวม  กอปรกับกลัวมันจะระเบิดคามือ  บรรดาเพื่อนๆ จึงแนะนำให้ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย  ซึ่งทีแรกกะว่าจะเปลี่ยนกับทางศูนย์โดยตรง  แต่เช็คราคาแล้วพบว่าราคาสูงถึงเกือบ 8,000 บาท  และอาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการส่งเครื่องไปเปลี่ยนแบต  ทางออกเลยเป็นการเปลี่ยนกับร้านภายนอก หมายเหตุ โน้ตบุ๊คตัวล่างนั่นขุดมาใช้ระหว่างรอแบต  ล่าสุดทำน้ำหกใส่เจ๊งไปแล้วจ้า ???? ร้านแรกที่เพื่อนแนะนำมาคือร้าน Unlimit:mac ซึ่งเท่าที่เช็คดูก้มีชื่อเสียงพอสมควร  ลองโทรสอบถามแล้วได้ราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ 3,000 บาท  เลยจัดการยกเครื่องไปเปลี่ยนแบตในวันที่ 21 เมษายน แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่อช่างทำการแกะเครื่องเรียบร้อยแล้ว  ก็พบว่าไม่มีแบตเตอรี่อยู่ในสต็อค  โดยทางร้านบอกว่าของอาจจะเข้าในประมาณสองถึงสามวัน  ระหว่างนี้จะมีสองทางเลือกคือใช้แบตเตอรี่เดิม  แต่จะปิดฝาหลังไม่ได้ (เพราะแบตบสมดันฝาหลังออก) กับอีกแบบคือถอดแบตเตอรี่ทิ้ง  แล้วใช้ไฟจากสายชาร์จแทน  แต่ก็จะแลกมาด้วย Performance ที่ตกอย่างมหาศาล (มหาศาลจริงๆ ครับ) ซึ่งผมก็เลือกวิธีหลัง ผ่านมาจนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม  ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาจากทางร้านเรื่องแบตเตอรี่  กอปรกับโทรหาทางร้านไม่ติด (คาดว่าร้านคงปิดวันแรงงาน) …

The post มหากาพย์เปลี่ยนแบตเตอรี่ rMBP 13″ Early 2015 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
โน้ตบุ๊คตัวที่ผมใช้หากินอยู่ทุกวันนี้คือ Macbook Pro Retina 13″ ตัว Early 2015 ซึ่งหลังจากฝ่าฟันปัญหาจอลอกมาแล้วรอบนึง  ก็ตามมาด้วยปัญหาแบตเตอรี่บบวม  ที่บวมป่องออกมาจบปิดฝาพับได้ไม่สนิท  ประมาณนี้

ด้วยความทุเรศทุรังจากอาการบวม  กอปรกับกลัวมันจะระเบิดคามือ  บรรดาเพื่อนๆ จึงแนะนำให้ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย  ซึ่งทีแรกกะว่าจะเปลี่ยนกับทางศูนย์โดยตรง  แต่เช็คราคาแล้วพบว่าราคาสูงถึงเกือบ 8,000 บาท  และอาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการส่งเครื่องไปเปลี่ยนแบต  ทางออกเลยเป็นการเปลี่ยนกับร้านภายนอก

หมายเหตุ โน้ตบุ๊คตัวล่างนั่นขุดมาใช้ระหว่างรอแบต  ล่าสุดทำน้ำหกใส่เจ๊งไปแล้วจ้า ????

ร้านแรกที่เพื่อนแนะนำมาคือร้าน Unlimit:mac ซึ่งเท่าที่เช็คดูก้มีชื่อเสียงพอสมควร  ลองโทรสอบถามแล้วได้ราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ 3,000 บาท  เลยจัดการยกเครื่องไปเปลี่ยนแบตในวันที่ 21 เมษายน

แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่อช่างทำการแกะเครื่องเรียบร้อยแล้ว  ก็พบว่าไม่มีแบตเตอรี่อยู่ในสต็อค  โดยทางร้านบอกว่าของอาจจะเข้าในประมาณสองถึงสามวัน  ระหว่างนี้จะมีสองทางเลือกคือใช้แบตเตอรี่เดิม  แต่จะปิดฝาหลังไม่ได้ (เพราะแบตบสมดันฝาหลังออก) กับอีกแบบคือถอดแบตเตอรี่ทิ้ง  แล้วใช้ไฟจากสายชาร์จแทน  แต่ก็จะแลกมาด้วย Performance ที่ตกอย่างมหาศาล (มหาศาลจริงๆ ครับ) ซึ่งผมก็เลือกวิธีหลัง

ผ่านมาจนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม  ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาจากทางร้านเรื่องแบตเตอรี่  กอปรกับโทรหาทางร้านไม่ติด (คาดว่าร้านคงปิดวันแรงงาน) เลยเริ่มมองหาร้านอื่น  โดยในตอนแรกได้ร้าน Smile IT Service ที่โทรคุยแล้วบอกพร้อมเปลี่ยน  แต่พอไปถึงร้านแล้วพบว่าร้านไม่มีแบตเตอรี่สำรอง  และต้องสั่งของเข้ามา  ซึ่งอาจจะต้องรองสองถึงสามวัน  สุดท้ายเลยไม่ได้เปลี่ยน

มาถึงวันที่ 2 พฤษภาคม  วันนี้โทรหาร้าน Unlimit:mac ติดแล้ว  และพบว่าแบตเตอรี่ยังไม่เข้ามา (ไหนพี่ว่าสองสามวันไง ????) เลยตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องเปลี่ยนแล้ว  เพราะไม่มีแบตนี่แทบจะทำงานใดๆ ไม่ได้เลย  ก็เลยมองหาร้านอื่น  ไปได้ร้าน Ninemac ที่ยูเนียนมอล  ซึ่งโทรไปทางร้านก็บอกของพร้อมเปลี่ยน  ถ้าคอนเฟิร์มจะสั่งของมาที่ร้านเลย  ใช้เวลาเปลี่ยนประมาณชั่วโมงนึง  ค่าใช้จ่าย 4,500 บาท  จึงตกลงไป (แพงกว่าเดิมครึ่งนึงแน่ะ) แต่ระหว่างทางที่กำลังไปร้านนั้น  ร้านก็โทรมาบอกว่า “ของไม่มีจ้า”

อ้าว …

เห้ย …

อะไรเนี่ย!

ในขณะที่ออกจากบ้านมาแล้ว  วันนี้จะไม่ยอมกลับไปมือเปล่า (เมื่อวานได้ Guardian of The Galaxy Vol.2 มาทดแทน) เลยตัดสินใจว่าลุยมันทุกร้านเลยแล้วกัน  ตั้งงบ 4,500 นี่ล่ะ  เลยโทรไปถามสองสามที่  ได้ความดังนี้

  1. ร้าน Trex ที่พันธุ์ทิพย์ประตูน้ำ  ถ้าจำไม่ผิดราคา 4,500 บาท  แต่ร้านไม่รับงานด่วน  และพูดจาไม่ค่อยถูกชะตาสักเท่าไหร่  เลยช่างแม่ง  ไม่คุยละ
  2. ร้าน Cyber2fix ราคาแบตเปล่า 3,900 บาท  รวมค่าแรงอีก 890 แต่เช็คของแล้วก็ไม่มีแบตในสต็อคเช่นกัน
  3. ร้าน Mac Station ได้ราคา 4,500 บาท (หรือ 4,200 บาทหว่า?) แต่เช็คของแล้วก็ไม่มีเช่นกัน

จากที่คุยมา  เค้าบอกว่าแบต A1582 ที่ใช้กับ rMBP 13″ Early 2015 นั้นขาดตลาดมาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว (ก็น่าจะจริงนะ  พร้อมใจกันของหมดขนาดนี้) แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม  ค้นหาต่อไปเรื่อยๆ

ในที่สุดก็ไปเจอร้าน “เล้งไอที” ที่พันธุ์ทิพย์ประตูน้ำ  ถึงชื่อจะดูน่าตะขิดตะขวงนิดหน่อย  แต่ก็ลองโทรไปถามดู  ซึ่งเจ๊ที่รับสายก็เหมือนจะไม่รู้ว่าโน้ตบุครุ่นนี้ใช้แบตอะไร  ผมเลยขอมานั่งหารุ่นแบตแล้วจะโทรกลับ  หลังจากพบว่ามันเป็นรุ่น A1582 ก็โทรกลับไปที่ร้าน  มิสคอลไปหกเจ็ดสาย  ในที่สุดเจ๊เค้าก็รับสายสักที  ซึ่งทางร้านบอกว่ามีแบตรุ่นดังกล่าวพร้อมเปลี่ยนทันที  สนนราคาที่ 3,000 บาท  ซึ่งทางร้านบอกว่าเป็นแบตแท้

นี่ก็นั่งเรือจากเดอะมอลล์บางกะปิมาประตูน้ำ  เสพย์กลิ่นลาเวนเดอร์ของคลองแสนแสบอย่างเพลิดเพลิน  ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเรือสายนี้ด้วย

มาถึงพันธุ์ทิพย์ประตูน้ำ  เดินวนหาร้านอยู่สักพักจนเจอ  เอาโน้ตบุ๊คให้ดู  ช่างก็แกะๆ แล้วหยิบแบตมาใส่  ประกอบกลับ  ชาร์จเข้า  ติดวอยด์  เรียบร้อย

แบตเตอรี่มาเป็นกล่องน้ำตาลแบบนี้  แถมไขควงสองอัน  ไม่มีข้อความใดๆ บอก  ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าของแท้จริงๆ มันเป็นไง  เออช่างเถอะ ณ ตอนนี้เปลี่ยนแล้วใช้ได้เป็นพอ (ถ้าใช้ไม่ได้ค่อยสั่งแบตมาใหม่  มีไขควงแล้ว!) สนนราคาทั้งทิ้ง 3,000 บาท  ร้านมีประกันแบตให้ 6 เดือน

แบตมาเต็ม 100% (จริงๆ น่าจะไม่เต็ม  อาจจะต้องชาร์จใหม่สักรอบสองรอบ) ชาร์จเข้า  ไม่มีปัญหาอะไร  และโน้ตบุ๊คก็กลับมาทำงานรวดเร็วเหมือนเดิม  ตัวเครื่องไม่โป่ง  พับจอได้สนิทแล้ว เฮ

จากนี้คือต้องลองใช้ไปสักพักว่ามันจะสามารถทำงานด้วยแบตเตอรี่ได้ยาวนานแค่ไหน  โดยส่วนตัวไม่คาดหวังว่าจะถึง 9 ชั่วโมงเท่าตอนซื้อมาใหม่ๆ แค่อยู่ถึง 5 ชั่วโมงก็พอใจแล้ว

เอาล่ะ  ถึงเวลากลับบ้าน  สองทุ่มครึ่งนั่งดู #MicrosoftEDU ที่ลือว่าจะมีโน้ตบุ๊ค Surface ตัวใหม่

The post มหากาพย์เปลี่ยนแบตเตอรี่ rMBP 13″ Early 2015 appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2017/05/rmbp-13-inches-early-2015-battery-replacement/feed/ 2 3089
เกมออนไลน์ MMORPG ดีๆยังมีอยู่ในโลก: มาเล่น Guild Wars 2 กัน /2016/05/%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%99-guild-wars-2-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99/ /2016/05/%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%99-guild-wars-2-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99/#respond Sat, 14 May 2016 15:42:27 +0000 /?p=2834 ผมจำได้ว่าผมเล่นเกมออนไลน์แนว MMORPG มาตั้งแต่สมัยประถม (ช่วงนั้นก็ Ragnarok Online และ MU Online ในมือของ New Era ที่มีทีมบริหารชุดเก่า) เล่นมาเรื่อยๆตั้งแต่สมัย Air Time จนมาถึงยุค Item Mall ที่เกมดีๆ กลายเป็นเกม Pay2Win ไปหมด  ผมจึงหันหลังให้ MMORPG ไปพักใหญ่ๆ และไปหมกอยู่ในเกมออฟไลน์ (สมัยนั้นเรียกกันว่าเกมกล่อง) และ CS:GO ในสตีมแทน ช่วงปีกว่าๆ มานี้ผมได้ไปเล่นเกมออนไลน์ต่างประเทศเกมหนึ่ง (เอาที่แน่นอนก็คือ 17 เดือน) ซึ่งมันเป็นเกมที่ทำให้รู้สึกว่า เออเว้ย เกม MMORPG ดีๆ มันก็ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ เกมที่ว่านั่นคือ Guild Wars 2 ตอนที่ผมเริ่มเล่น Guild Wars 2 ครั้งแรกนั้นเกมยังเป็นแบบขายขาด  คือซื้อครั้งเดียวแล้วเล่นได้ยาวตลอดชีพ  ไม่ต้องจ่ายรายเดือน (ซึ่ง MMO …

The post เกมออนไลน์ MMORPG ดีๆยังมีอยู่ในโลก: มาเล่น Guild Wars 2 กัน appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
ผมจำได้ว่าผมเล่นเกมออนไลน์แนว MMORPG มาตั้งแต่สมัยประถม (ช่วงนั้นก็ Ragnarok Online และ MU Online ในมือของ New Era ที่มีทีมบริหารชุดเก่า) เล่นมาเรื่อยๆตั้งแต่สมัย Air Time จนมาถึงยุค Item Mall ที่เกมดีๆ กลายเป็นเกม Pay2Win ไปหมด  ผมจึงหันหลังให้ MMORPG ไปพักใหญ่ๆ และไปหมกอยู่ในเกมออฟไลน์ (สมัยนั้นเรียกกันว่าเกมกล่อง) และ CS:GO ในสตีมแทน

ช่วงปีกว่าๆ มานี้ผมได้ไปเล่นเกมออนไลน์ต่างประเทศเกมหนึ่ง (เอาที่แน่นอนก็คือ 17 เดือน) ซึ่งมันเป็นเกมที่ทำให้รู้สึกว่า เออเว้ย เกม MMORPG ดีๆ มันก็ยังเหลืออยู่ในโลกนี้

เกมที่ว่านั่นคือ Guild Wars 2


ตอนที่ผมเริ่มเล่น Guild Wars 2 ครั้งแรกนั้นเกมยังเป็นแบบขายขาด  คือซื้อครั้งเดียวแล้วเล่นได้ยาวตลอดชีพ  ไม่ต้องจ่ายรายเดือน (ซึ่ง MMO ฝรั่งหลายๆเกมมักจะต้องจ่ายรายเดือน  เช่น World of Warcraft หรือ EVE Online) แต่ในตอนหลังเมื่อออกภาคเสริม Heart of Thorns ออกมา  ทาง ArenaNet (ผู้ใช้บริการ) ก็เปลี่ยนโมเดลการขายไปเป็นให้เล่นฟรี  และขายส่วนเสริม Heart of Thorns แทน (ใครซื้อ Guild Wars 2 มาก่อน  ก็ต้องซื้อรอบ  ใครเพิ่งซื้อไม่นานนี่โคตรหลังหัก)

อ้อ อยากบอกไว้ก่อนว่าจริงๆแล้วเกมนี้มันภาพสวยนะครับ  แต่เนื่องจากแมคบุคโปรสเป็คมันเทพมาก  ผมเลยต้องปรับ Low ถึงจะเล่นได้ลื่นๆ :P

เอาว่าเดี๋ยวผมขอแนะนำเหตุผลในมุมของผมหน่อยแล้วกันว่าทำไมเกมนี้ถึงเป็นเกมที่น่าเล่น  แต่ผมขอเริ่มด้วยแอคเคาท์แต่ละประเภทก่อนนะครับ

ข้อแตกต่าง แอคเคาท์ฟรี, แอคเคาท์ที่เคยซื้อ Guild Wars 2, และแอคเคาท์ที่ซื้อ Heart of Thorns

อย่างแรกขออธิบายความแตกต่างของแอคเคาท์แต่ละแบบก่อนแล้วกันนะครับ

[table id=1 /]

ผู้เล่นเป็นมิตรมากๆ

เกมนี้โดยรวมมีสังคมที่ดีครับ  ระบบต่างๆออกแบบมาเอื้อให้ผู้เล่นอยากช่วยเหลือกัน  ในเกมนี้จะเป็นเรื่องปกติมากที่เวลาวิ่งเปิดแมพแล้วจะมีผู้เล่นที่ไหนสักคนยอมเสียเวลาสิบยี่สิบนาทีเพื่อพาเราไปโดด Jumping Puzzle หรือคอยตอบคำถามและให้คำแนะนำในการเล่นกับเรา (แน่นอนว่าเป็นภาษาอังกฤษ แต่เกมนี้ก็มีคนไทยอยู่จำนวนหนึ่งนะ) หรือเห็นเรากำลังจะตายตอนสู้กับมอนสเตอร์ก็จะโดดเข้ามาช่วย  แม้แต่เรานอนแห้งตายอยู่กับพื้น  เขาก็มักจะวิ่งเข้ามาชุบชีวิตให้ (เกมนี้ทุกคนสามารถชุบชีวิตให้ผู้เล่นและ NPC ได้ครับ)

และวันดีคืนดีเราก็จะเห็นแชทในหัวข้อแปลกๆล่องลอยเข้ามาในแมพแชท  เช่นวันก่อนผมเจอคนคุยกันเรื่องปรัชญากรีกโบราณ  หรืออีกวันผมเจอคนมานั่งแปลงเพลงเล่นกันในแชท …

ไอเทมมอลสำหรับคนอยากหล่อ

จากตารางด้านบนนั้นจะเห็นว่ามีการพูดถึงไอเทมมอลด้วย (จริงๆในเกมใช้คำว่า Gem Store) ซึ่งไอเทมมอลของเกมนี้จะเน้นไปที่อุปกรณ์สวยหล่อต่างๆ  เช่นสกินชุด  ไอเทมเปลี่ยนหน้าตัวละคร  แก้ไขชื่อตัวละคร  และไอเทมช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆที่ไม่กระทบกับตัวเกมมากนัก  เช่นที่ขุดแร่ ตัดไม้ เก็บผัก แบบถาวร, ตัวเปิดแบงค์ที่ไหนก็ได้, บัฟคูณเล็กๆน้อยๆ, หรือของเล่นประหลาดๆ (เช่นกระเป๋าตัวสล็อตที่กำลังขายอยู่ตอนนี้)

ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าเราจะไม่เห็นไอเทมเทพขายอยู่ในเกมนี้อย่างแน่นวล

เกมนี้ยังเปิดโอกาสให้เราแลกเปลี่ยนเพชร (เงินเติม) ให้กลายเป็นเงินในเกมได้อีกด้วย  และในทางกลับกัน  สำหรับแอคเคาท์เสียเงิน  ยังสามารถแลกเปลี่ยนเงินในเกมให้กลายเป็นเพชรเพื่อมาซื้อของใน Gem Store ได้ด้วยเช่นกัน

ปรับแต่งสกินอาวุธและชุดเกราะได้ตามใจ

หลายเกมที่เคยเล่นกันนั้นมักจะมีชุดเกราะหรืออาวุธเทพๆ อยู่สองสามเซ็ต  ทำให้เมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อเราเดินไปทางไหนก็จะเจอผู้เล่นที่แต่งตัวเหมือนๆกัน  ซึ่งบางคนอาจจะเบื่อในจุดนี้

ใน Guild Wars 2 นั้นเราสามารถปลดล็อคสกินของอาวุธและชุดเกราะต่างๆได้เท่าที่ต้องการ (และเท่าที่จะขวนขวายหามาได้) เราสามารถเอาสกินชุดเกราะเริ่มต้นไปใส่ให้กับเกราะขั้นสูงได้  รวมถึงสามารถเปลี่ยนสีได้อย่างอิสระ (เริ่มต้นจะมีสีมาให้จำนวนหนึ่ง  ผู้เล่นต้องซื้อสีเพิ่มเอาเอง  ซึ่งสามารถซื้อได้ด้วยเงินในเกม)

สิ่งนี้ทำให้การแต่งตัวในเกมนี้แฟนตาซีมาก  วันดีคืนดีคุณเดินไปอาจจะเจอคนแต่งตัวแบบ Assassin’s Creed, บ้างก็เจอ Sailor Moon, บ้างก็เจอ The Hulk, หรือ Hulk Buster ก็เป็นได้

เกม MMORPG ที่เน้นแอคชันรวดเร็ว

Guild Wars 2 เป็นเกมแนว MMORPG มุมมองบุคคลที่สามครับ ควมคุมการเดินด้วย WASD และเมาส์ (ให้นึกถึง GTA เข้าไว้  มองจากข้างหลังตัวละคร  นั่นแหละ  คล้ายๆกัน) เกมมีแอคชันที่รวดเร็ว  ระเบิดตูมตาม  จังหวะการโจมตีและป้องกันถือเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายได้เลยครับ

เกมที่ทุกคนอยากให้แจม

หลายคนคงเคยเจอกับฝันร้ายเกี่ยวกับการตีมอนอยู่แล้วเจอคนมาแจม  หาร exp ซ้ำร้ายบางทีมันยังมาลูทไอเทมแรร์ไปต่อหน้าต่อตาอีก  ในเกมนี้ลืมไปได้เลยครับ  เพราะทุกคนที่เข้ามาตีนั้นจะได้ exp เท่าๆกัน  และได้ไอเทมแยกกันต่างหาก (ไอเทมบางส่วนจะเด้งเข้าตัว  และบางส่วนจะกองบนพื้น  แต่ก็เก็บแยกของใครของมันครับ)

ดังนั้นเกมนี้ทุกคนจะดีใจมากถ้ากำลังตีมอนอยู่แล้วใครไม่รู้โดดเข้ามาแจม  เพราะจะนอกจากจะฆ่าศัตรูได้ง่ายขึ้นแล้ว  ก็ไม่มีอะไรจะเสียเลย

Megaserver ที่ช่วยให้เราเจอผู้เล่นตลอด

โดยทั่วไปเมื่อเราเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เล่นก็จะอยู่เซิร์ฟเวอร์นั้น  เจอแต่คนเซิร์ฟเวอร์นั้น  ถ้าเราไปเลือกเจอเซิร์ฟเวอร์ที่เซ็ตตัวแล้ว  เราไปเก็บเลเวลบางแผนที่จะแทบไม่เจอคนเลย  เหตุการณ์แบบนี้จะไม่มีใน Guild Wars 2 ครับ

แม้ว่าเกมนี้จะมีการแบ่งเซิร์ฟเวอร์  แต่มันส่งผลหลักๆกับการเล่นใน World vs World เท่านั้น  ในแผนที่ปกติ (PvE หรือ Living World) เกมจะจับผู้เล่นจากทุกเซิร์ฟเวอร์มาคละกันใน Map Instance  โดยเกมจะพาเราไปอยู่ใน Instance เดียวกับกลุ่มคนที่น่าจะเข้ากับเรามากที่สุด  เช่นคุยภาษาเดียวกัน (แต่เกมไม่รู้จักภาษาไทยนะ อิอิกำ) อยู่ในรายชื่อเพื่อน  หรืออยู่กิลด์เดียวกัน เป็นต้น

เหตุนี้นี่เองทำให้เราสามารถเล่นกับเพื่อนที่อยู่ต่างเซิร์ฟเวอร์กันได้ตลอดเวลา (ยกเว้นแต่ใน WvW ที่แบ่งเซิร์ฟเวอร์ใครเซิร์ฟเวอร์มัน)

ทุกอาชีพ เล่นได้ทุกสาย

ถึงแม้ว่าเกมนี้จะมีการแบ่งอาชีพ  แต่นั่นก็ไม่ได้กำหนดว่าอาชีพนั้นๆจะเล่นได้เพียงสองสามแบบเท่านั้น  เราสามารถบิลด์ตัวละครทุกอาชีพออกมาเป็นทุกสายได้  ยกตัวอย่างเช่นอาชีพ Ranger เราสามารถบิลด์ให้มันเป็นได้ทั้งสายทำดาเมจ  ตัวแทงค์  หรือสายซัพพอร์ต  เช่นเดียวกันกับอาชีพนักเวทอย่าง Elementalist ที่ก็สามารถเล่นได้ทั้งตัวทำดาเมจ  ตัวแทงค์ หรือตัวซัพพอร์ตเช่นกัน

ในเกมจะไม่มีการอัพสเตตัสครับ  ดังนั้นตัวละครของเราสามารถเปลี่ยนสายการเล่นได้ตลอดเวลา  โดยการเปลี่ยนชุด  อาวุธ  ปรับ Traits และ Skills โดยเราสามารถปรับเทรทแยกกันได้อย่างอิสระ  ทั้งใน PvE (ตีมอนล่าบอส), PvP (สู้กับผู้เช่น), และ WvW (สู้กันข้ามเซิร์ฟเวอร์)

สกิลในเกมนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ

  1. สกิลอาวุธ (สกิล 1-5 จากภาพด้านบน) โดยสกิลส่วนนี้จะขึ้นกับอาวุธที่ถือ  และแต่ละอาชีพแม้จะถืออาวุธเดียวกัน  ก็จะได้สกิลแตกต่างกัน
  2. สกิลสล็อต (สกิล 6-0 จากภาพด้านบน) โดยสกิลส่วนนี้ผู้ใช้สามารถเลือกใส่ได้เองตามอาชีพที่ตัวเองเล่น โดยจะแบ่งเป็นสกิลฮีลหนึ่งช่อง  สกิลยูทิลิตี้สามช่อง และสกิลอีลิทหนึ่งช่อง
  3. สกิลเมคคานิค (สกิล F1-F5 จากภาพด้านบน — บางอาชีพอาจจะมีไม่ถึง) เป็นสกิลของแต่ละอาชีพ  ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขต่างๆ  เช่นของ Ranger จะเป็นการคุมสัตว์เลี้ยง, ของ Elementalist จะเป็นการเปลี่ยนธาตุ, หรือของ Warrior จะเป็นท่าไม้ตายของอาวุธนั้นๆ
  4. Traits (สกิลที่แสดงในหน้าต่าง) ซึ่งจะเป็นสกิลเสริมความสามารถต่างๆของตัวละคร  เช่นช่วยให้ยิงธนูเร็วขึ้น  ลดดีเลย์สกิลบางประเภท หรือสร้างคอนดิชันต่างๆรุนแรงขึ้น (เช่นเลือดออกหรือติดพิษ) โดยผู้เล่นสามารถเลือก Trait ได้ 3 ประเภท  จากทั้งหมดที่มี 5 ประเภท ต่างกันไปตามแต่ละอาชีพ

ซึ่งจากสี่ส่วนนี้  เราสามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามใจชอบ  ซึ่งจะส่งผลต่อสายการเล่นของตัวละครนั้นๆด้วย

Meta Event ภารกิจประจำแผนที่

ภารกิจในเกมอื่นนั้นส่วนมากมักจะเน้นไปที่การรับภารกิจจาก NPC สักตัวหนึ่ง  และวิ่งข้ามแมพเพื่อไปทำภารกิจ  หรือส่งภารกิจให้ NPC อีกตัวหนึ่ง  แต่ใน Guild Wars 2 จะต่างออกไปครับ

แม้ว่าภารกิจเนื้อเรื่องหลักของเกมจะยังคงรูปแบบนั้น  ที่จะมีการวิ่งข้ามโลกข้ามแมพเพื่อไปพบตัวละครตัวอื่นบ้าง (ตามสไตล์เนื้อเรื่องเกม RPG ทั่วไป) แต่ภารกิจย่อยต่างๆผู้เล่นจะสามารถพบเจอได้ทั่วไปตามแผนที่

ภารกิจพวกนี้จะต่างออกไปจากภารกิจแบบเดิมๆที่เราทำกัน  เราไม่จำเป็นต้องไปกดรับภารกิจจากใครที่ไหน (อาจจะมีบ้าง  เช่นไปคุยกับ NPC เพื่อเอาปืนไปยิงปู …) ในแผนที่จะมีเหตุการณ์ที่เป็นเนื้อเรื่องของแผนที่นั้นๆเกิดขึ้นอยู่ตลอด  และผู้เล่นสามารถเข้าร่วมเหตุการณ์เหล่านั้นได้ในทันที  อย่างเช่นในแมพ Gendarran Field เราสามารถเจอเหตุการณ์พวกเซ็นทอร์โจมตีหมู่บ้าน  ผู้เล่นก็จะสามารถไปเข้าร่วมในเหตุการณ์นั้นได้ในทันทีโดยไม่ต้องไปกดรับภารกิจใดๆทั้งสิ้น  และเนื่องจากเหตุการณ์พวกนี้ให้ Exp ค่อนข้างดี  ทำให้โดยปกติแล้วมักจะมีผู้เล่นมาเข้าร่วมเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอๆ

ในบางเหตุการณ์นั้นจะมีเหตุการณ์ที่ต่อตามมาเมื่อถึงเงื่อนไขบางอย่างด้วย  เช่นถ้าเหตุการณ์ A ทำสำเร็จ  จะเกิดเหตุการณ์ B ขึ้นตามมา  แต่ถ้าไม่สำเร็จ  จะเกิดเหตุการณ์ C แทน

นอกจากเหตุการณ์เล็กๆที่กินพื้นที่ในส่วนเล็กๆของแผนที่ดังที่กล่าวไปข้างต้น  ในช่วงเลเวลสูงๆยังมีเหตุการณ์ที่กินพื้นที่ทั้งแมพอยู่อีกด้วย  เช่นการยึดป้อมเพื่อเข้าสู้กับ Vinewraith ในแมพ The Silverwaste หรือการยาตราทัพเข้าโจมตี Mouth of Mordremoth ในแมพ Dragon’s Stand ซึ่งมักมีผู้เล่นนับร้อยคนเข้าร่วม

เกมที่คุณจะเลเวลอัพได้จากอะไรก็ได้

คือมันอะไรก็ได้จริงๆนะครับ  คุณเปิดแมพเข้าพื้นที่ใหม่ๆ ก็ได้ Exp, เปิดวาร์ปพอยต์ใหม่ก็ได้ Exp, ชมวิว, ไปจุดสนใจ, ขุดแร่ ตัดไม้ เก็บผัก, คราฟท์ของ, หรือแม้แต่เห็นคนหรือ NPC นอนตายอยู่  เราวิ่งไปกดชุบชีวิต (ชุบฟรีไม่เสียตัง) ก็ล้วนแต่ได้ Exp ทั้งนั้น  ถ้าคุณถึกพอคุณสามารถอัพเลเวลถึง 80 ได้โดยไม่ต้องแวะตีมอนข้างทางเลยก็ยังได้

แม้แต่คุณเข้า PVP มันจะมี Reward Track ให้เรา (ซึ่งมักจะเป็นเกราะของดันเจียนต่างๆ) ซึ่งเมื่อครบเทียร์ก็จะได้ไอเทม Tome of Knowledge มาเพื่อกดอัพเลเวลได้ด้วยนะ

เนื้อเรื่องของเกม ที่โคตร EPIC!

เกมออนไลน์หลายๆ เกมมักมีเนื้อเรื่องง่ายๆเป็นเพียงส่วนประดับเกมเท่านั้น (บางเกมไม่มีเลยด้วยซ้ำไป) แต่ในเกมนี้จะมีเนื้อเรื่องหลักให้เราเล่นด้วยครับ โดยใน Guild Wars 2 เนื้อเรื่องหลักจะว่าด้วยการจัดการกับ Elder Dragons ที่ตื่นขึ้นมาเพื่อสูบกินพลังเวทบนโลก  คือเนื้อเรื่องมัน EPIC มากครับ  ไม่แพ้เกมออฟไลน์ดีๆที่เน้นไปทางเนื้อเรื่องเลย  เนื้อเรื่องลื่นไหลชวนติดตาม  มีคัทซีนสวยๆให้ดูตลอดด้วย

และสำหรับใครที่เล่นกับเพื่อน  สามารถชวนกันมาปาร์ตี้และเคลียร์เนื้อเรื่องไปพร้อมกันได้ด้วยครับ  ซึ่งถ้าเราเคลียร์เนื้อส่วนตอนนั้นๆ  เพื่อนเราจะสามารถเลือกว่าจะเคลียร์เนื้อเรื่องตอนนั้นไปด้วยเลย  หรือจะรอนับตอนเล่นเองก็ได้

อ้อ และเนื้อเรื่องเกมนี้ค่อนข้างไดนามิคครับ  แต่ละเผ่าจะมีเนื้อเรื่องต่างกันในตอนต้น (รายละเอียดเล็กๆน้อยๆตอนสร้างตัวละครก็จะส่งผลต่อเนื้อเรื่องด้วย) และเมื่อถึงจุดหนึ่งผู้เล่นจะต้องเล่นเนื้อเรื่องตามฝ่ายที่เลือกไว้  และสุดท้ายขะมารวมกันที่ทั้งสามฝ่ายร่วมมือกันสู้กับ Elder Dragon

ดังนั้นแล้วผู้เล่นจะสามารถเล่นเนื้อเรื่องได้หลายรอบเพื่อดูเนื้อเรื่องในแต่ละมุมได้อีกเยอะครับ

ไม่อยากสปอยล์เนื้อเรื่องว่ะ  เอาว่าส่วนนี้พวกคุณลองโหลดมาเล่นดูนะครับ 55 (แอคเคาท์ฟรีเล่นได้ถึงจบ Personal Story ที่จะได้สู้กับ Elder Dragon ตัวแรก  ส่วนเนื้อเรื่องซีซันต้องซื้อแยกเป็นตอนๆ และเนื้อเรื่อง Heart of Thorns ต้องซื้อส่วนเสริมครับ)

ดันเจียนที่ผูกกับเนื้อเรื่องหลัก

ระหว่างที่คุณเล่นเนื้อเรื่อง  เนื้อเรื่องจะพาคุณไปลงดันเจียนต่างๆภายในเกมใน Story Mode ซึ่งเมื่อคุณผ่าน Story Mode เหล่านี้แล้ว  คุณยังสามารถกลับมาเล่นใน Explore Mode ซ้ำได้อีกครั้ง  ซึ่งเซ็ตติ้งของ Explore Mode จะเป็นเหตุการณ์ของสถานที่นั้นๆหลังจากผ่าน Story Mode ไปแล้ว (เช่นดันเจียน Caudecus’s Mannor ที่เนื้อเรื่อง Story จะเป็นการไปจัดการฝ่ายแบ่งแยก  และเนื้อเรื่อง Explore จะเป็นการเก็บกวาดหลังจากจัดการฝ่ายแบ่งแยกไปแล้ว)

Structured PvP ที่วัดกันด้วยฝีมือล้วนๆ ไอเทมไม่เกี่ยว

PvP ในเกมอื่นที่เราเจอกัน  สุดท้ายแล้วมักจะเป็นการวัดกันว่าไอเทมใครเทพกว่ากัน (และพวกเทพทรูก็กินขาด) แต่เกมนี้ไม่เป็นอย่างนั้นครับ  ไอเทมทุกอย่างจะถูกปรับสแตทลงมาเท่ากันหมด  ผู้ใช้สามารถเลือกอาวุธได้อย่างอิสระ   ปรับเทรท  ปรับสกิล  และเลือกแอททริบิวต์ที่ต้องการเล่น  แล้วเข้าไปสู้กันได้ทันที

และใน PvP นอกจากไล่ฆ่ากันไปเรื่อยๆแล้ว  ผู้เล่นสามารถเลือกแมพที่จะเล่นได้  ซึ่งในแต่ละแมพยังมีเงื่อนไขเล็กๆในการเอาชนะด้วย  เช่นการยึดครองจุดต่างๆให้ได้คะแนนถึงที่กำหนด  หรือการถล่มฐานฝ่ายตรงข้าม  และสังหารลอร์ด (คล้ายๆกับแนว MOBA)

World vs World สงครามสามเซิร์ฟเวอร์มาตีกัน

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักการทำสงครามในเกม MMORPG กันครั้งแรกจากเกม Ragnarok Online ศึกยึดปราสาทระหว่างกิลด์  ซึ่งใน Guild Wars 2 จะพาไปไกลกว่านั้นครับ  เป็นการทำสงครามยึดปราสาทกันไปมาระหว่าง 3 เซิร์ฟเวอร์

ครับ  จับสามเซิร์ฟเวอร์มาตีกัน

รูปแบบของเกมหลักๆคือจะให้เรายึด Objective ต่างๆ (มี Camp, Tower, Keep, และ Stonemist Castle) และถือครองเอาไว้ให้ได้นานที่สุด  ในทุกๆ 15 นาทีจะทำการนับเก็บสะสมแต้ม  โดยในช่วงพีคๆ จะมีผู้เล่นที่เป็น Commander นำคนกว่าครึ่งร้อยไปสู้กับฝ่ายตรงข้าม

ในการสู้กันในจุดนี้  จะมีการสั่งการให้ตั้งรับ บุก ถอย เป็นจังหวะจะโคน  ซึ่งเป็นการทำงานเป็นทีมแบบสุดๆ (และโคตรมัน)

WvW จะแบ่งออกเป็น 4 แมพ  แต่ละเซิร์ฟเวอร์จะมีแมพ Borderland ของตัวเอง (เหมือนกันทั้งสามแมพ) และจะมีแมพ Eternal Battleground เป็นแมพกลาง  ซึ่งผู้เล่นสามารถยึดและป้องกัน Objective ใดๆก็ตามในสี่แมพนี้เพื่อสร้างแต้มให้กับฝ่ายตัวเอง

พูดอีกนัยหนึ่งคือ WvW นั้นคือ PvP ที่สเกลอัพขึ้นมานั่นเองครับ  แต่ผู้เล่นจะกดดันน้อยกว่า  เพราะด้วยจำนวนผู้เล่นในฝ่ายเราที่มีจำนวนมาก  ทำให้เราไม่ต้องกดดันว่าต้องค่อยดึงเกมไว้ตลอดเวลานั่นเอง

ถ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็ไปเก็บ Achievement

ในเกมยังมีระบบ Achievement ที่ใช้เก็บแต้มเพื่อแลกไอเทมพิเศษต่างๆ  โดย Achievement เหล่านี้จะได้มาจากการทำกิจกรรมต่างๆที่ตรงตามเงื่อนไข (เช่นฆ่า Skritt ครบ 500 ตัว ซึ่งโดยปกติเรามักจะได้ Achievement พวกนี้ระหว่างที่ทำภารกิจต่างๆอยู่แล้ว  ประมาณว่าทำเพลินรู้ตัวอีกทีก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปเรียบร้อย) ซึ่งเมื่อทำเสร็จแต่ละอย่างก็จะได้แต้มมาเป็นการตอบแทน

Achievement บางอย่างนั้นเมื่อทำสำเร็จครบทุก Tier แล้ว  อาจจะได้ไอเทมพิเศษ, ได้แต้ม Mastery, หรือได้ฉายามาเป็นการตอบแทนอีกด้วย

ประเภทของ Achievement นั้นก็มีอยู่หลายอย่าง  ตั้งแต่ฆ่ามอนสเตอร์ครบตามจำนวน, เก็บไอเทมครบคอลเล็คชัน, ยึดทาวเวอร์ใน WvW ครบตามจำนวน, เปิดแผนที่, หรือ Jumping Puzzle และยังมี Daily Achievement ให้ทำในแต่ละวันอีกด้วย

ตัวเกมรองรับทั้ง Windows และ OSX (และเอาไปรันบน Linux ก็ได้)

ตัวเกมหลักนั้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อเล่นบน Windows ครับ  แต่ทางผู้พัฒนาก็ออกไคลเอ็นท์เวอร์ชันแมค  โดยเอาตัวไคลเอ็นท์ของ Windows มารันใน Cider (Wine เวอร์ชันดัดแปลง) เพื่อรันบนแมคอีกทีหนึ่ง

และแม้ทางผู้พัฒนาจะไม่ได้ออกไคลเอ็นท์สำหรับลินิกซ์มาโดยเฉพาะ  แต่ผู้เล่นหลายๆท่านก็ลองเอาไปรันผ่าน Wine ได้ผ่านฉลุย

มาเหอะ มาเล่นกัน

มาเล่นกันเถอะนะ  ผมเล่นอยู่เซิร์ฟเวอร์ Northern Shiverpeaks ว่างๆมาเล่น WvW ด้วยกันนะครับ

ฝากแชแนลยูทูบหน่อยจ้า

คือหลังจากเขียนโพสต์นี้ ก็คิดได้ว่า น่าทำแชแนลยูทูบเผยแพร่เกมนี้เนอะ 555 ก็ได้ออกมาเป็นแชแนลเล็กๆแชแนลหนึ่ง  ที่ตอนนี้มีแต่วิดีโอกิลด์วอร์ส 2

ฝากแชแนล IronGhost63 ด้วยนะครับ :)


The post เกมออนไลน์ MMORPG ดีๆยังมีอยู่ในโลก: มาเล่น Guild Wars 2 กัน appeared first on JIRAYU.IN.TH.

]]>
/2016/05/%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%99-guild-wars-2-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99/feed/ 0 2834